GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2 ( บทที่2)

บทที่ 2
เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผมไม่เคยหนีโรงเรียนเลยสักครั้ง พ่อไม่ยอมให้ทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าโดดเรียน,แอบสูบบุหรี่ หรือทำพฤติกรรมเหลวแหลกทั้งหลายแหล่ ผลที่จะได้รับตามมานั้นเกินจะจินตนาการ พ่ออาจบิดหูหรือฟาดเอาบ้างแต่ไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักหนาเป็นการลงโทษ พ่อไม่เคยตีผมจริงๆ แต่จะแสดงความผิดหวังด้วยวิธีที่แตกต่างไป บางครั้งเมื่อทำผิดพ่อจะมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมหัวใจสลาย

สิ่งที่หยุดยั้งผมเอาไว้จากการทำตัวเกเรเหมือนวัยรุ่นทั่วไปก็คือความกลัวว่าความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างเราจะถูกทำลายไป พ่อไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือขึ้นเสียงเพื่อสั่งสอนผมกับพอลให้รู้จักผิดชอบ พ่อไม่ยอมให้ลูกของท่านไม่เคารพผู้อื่น หรือทำสิ่งผิด พ่อไม่ต้องการให้มีตำรวจมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้าน อาจมีเพื่อนบ้านมาบ่นเรื่องผมกับพอลไปขว้างก้อนหินใส่หน้าต่างบ้านเพื่อนบ้านบ้าง แต่เราไม่เคยทำความผิดร้ายแรงจนตำรวจต้องมาตามตัวที่บ้าน ไม่เคยเลย

ผมเคยทำผิดร้ายแรงครั้งหนึ่ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ผมขโมยของและถูกจับได้!!!

ตอนนั้นผมกับเพื่อนคนหนึ่งไปเตร็ดเตร่แถวๆ ในเมืองลิเวอร์พูล แบบเดียวกับที่เด็กสิบเอ็ดขวบส่วนใหญ่ทำกัน ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่ร้านวูลลี่ส์ เรามีเงินติดตัว 5 ควิด เป็นค่ารถและพอสำหรับไปแวะทานเบอร์เกอร์ที่ร้านบนถนนไลม์ระหว่างทางกลับบ้านได้ ปัญหาก็คือผมต้องใช้เครื่องเขียนสำหรับทำการบ้าน แค่กระดาษกราฟกับปากกา อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้

แผนของเราก็คือเลือกวูลลี่ย์เป็นเป้าหมายสำหรับลงมือ เราเข้าไปในร้านเดินผ่านช่องทางเดินไปๆ มาๆ แล้วก็แอบหยิบปากกาหย่อนใส่กระเป๋าและเอากระดาษซ่อนในเสื้อโค้ท อย่างมั่นใจ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูทางออก แผนดูจะได้ผล เยี่ยมไปเลย ผมรู้สึกถึงเงินในกระเป๋าสำหรับซื้อเบอร์เกอร์และโค้ก ใจเย็นๆ ไว้ แค่ก้าวพ้นประตูร้าน ออกไปที่ทางเท้าแล้วเลี้ยวขวา แค่นั้นก็เรียบร้อย

เสียงตะโกนหยุดเราเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน”

เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาททำเอาเลือดในตัวเย็นเฉียบ

“หยุดตรงนั้นละ”

ตายแน่! รปภ.ของวูลลี่ส์ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ผมขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยความหวาดกลัวจับใจ รปภ.คว้าคอเสื้อเราสองคนเอาไว้ บ้าจริง วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม

“จบกัน”

ผมคิดในใจ ความคิดและจิตใจผมปั่นป่วนไปหมด

“เราทำพังหมดแล้ว เรื่องลิเวอร์พูลคงจบสิ้นกัน สโมสรจะถีบหัวเราส่ง พ่อคงทิ้งเราแน่ ไม่น่าเลย”
รปภ. ลากตัวเราสองคนกลับเข้าไปในออฟฟิศ ค้นเอาเครื่องเขียนออกมาจากตัว จากนั้นก็เริ่มเขย่าขวัญเราอย่างที่สุด

“เรียนโรงเรียนอะไรกัน? “ เขาตวาด “บ้านอยู่ที่ไหน? บอกเบอร์โทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้เลย”

หัวสมองหมุนเร็วจี๋คิดหาทางออก [i]“ผมไม่มีเบอร์โทรที่บ้าน” ผมโกหก

รปภ.โกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ “งั้นบอกที่อยู่ที่บ้านมาไอ้หนู”

ผมไม่กล้าบอกที่อยู่ที่บ้านหรอก พ่อจะต้องประสาทเสียแน่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหู คิดสิๆๆ รปภ.ถามซ้ำอีกผมจึงตัดสินใจบอกที่อยู่บ้านป้าคนหนึ่ง เขาจดที่อยู่เอาไว้ สั่งสอนเราอีกแล้วก็ไล่เราออกมาจากร้าน

ในหัวผมสับสนไปหมดขณะวิ่งไปที่ถนนไลม์ ที่ร้านต้องโทรศัพท์ไปแจ้งโรงเรียนแล้วเรื่องก็จะต้องถึงพ่อจนได้ แล้วผมก็คงจบสิ้นกัน ถูกกักบริเวณ ไม่ได้เล่นฟุตบอลไปอีกตลอดชีวิต บ้าฉิบ… 

เมื่อผมลงรถไฟที่ฮายตันผมไม่กล้าเข้าบ้าน “พ่อต้องฆ่าเราทิ้งแน่ๆ” ผมคิดอยู่คนเดียว ไม่กล้ากลับบ้านจึงวิ่งเลยไปบ้านป้าลินน์ ป้าเปิดประตูรับผมบอกให้นั่งลงใจเย็นๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป้าฟัง

“ป้าไปหาพ่อหน่อยได้ไหมครับ” ผมขอร้องป้า

“นะครับ ไปดูให้หน่อยว่าพ่อไม่เป็นไร”

ป้าลินน์ไปที่บ้านของผมพยายามเล่าให้พ่อฟังว่าผมกลัวแค่ไหน แต่ช้าไป พ่อรู้เรื่องผมจิ๊กของแล้ว ข่าวร้ายแพร่กระจายเร็วเสมอ ทางร้านวูลลี่ส์โทรไปที่โรงเรียน แล้วทางโรงเรียนก็โทรมาบอกพ่อทันที พ่อเดือดสุดๆ ตอนมาลากตัวผมกลับบ้าน แทบฉีกผมเป็นชิ้นๆ พ่อมองตาผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมแทบขาดใจตาย

“ทำไมทำแบบนี้” พ่อตวาดผม

“ทำไมต้องขโมย ทำไมไม่จ่ายเงินซื้อ ไม่มีเงินทำไมไม่ขอพ่อกับแม่ ทำไม? ทำไม? ครอบครัวของเรารับไม่ได้กับการขโมยหรอกนะ แล้วแกก็จะถูกลงโทษที่โรงเรียนด้วย พวกเขาต้องอยากรู้แน่ว่าแกขโมยของทำไม”

ระหว่างนั่งรถไฟกลับจากบ้านป้า จังหวะหนึ่งผมคิดว่าพ่อน่าจะเย็นลงแล้ว

“พ่อครับ” ผมเปิดปากพยายามอธิบาย “ถ้าโรงเรียนถามเหตุผลผมก็จะบอกไปว่าผมต้องใช้เครื่องเขียนเพื่อทำการบ้าน ผมทำเพื่อเรื่องที่โรงเรียน มันไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรเลย แค่กระดาษกราฟ”

พ่อมองหน้าผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะปฏิเสธ “เป็นฉันจะไม่อ้างแบบนั้น”

จบกัน ข้อแก้ตัวไม่มีน้ำหนักเลย ผมรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยให้ผมรอดจากการไปอยู่บ้านสุนัขแน่แล้ว

แล้วพ่อก็จู่โจมผมด้วยความคิดที่ร้ายกาจอีกเรื่อง

“ถ้าลิเวอร์พูลรู้เรื่องนี้เข้าแกคงตกที่นั่งลำบากแล้วสตีเว่น” พ่อบอก

“แกคิดว่า สตีฟ ไฮเวย์จะคิดยังไงกับแก แกคงต้องสูญเสียโอกาสที่ลิเวอร์พูล พวกเขาจะเตะโด่งแกออกมาแทบไม่ทัน”
คำพูดเหล่านั้นกระแทกจิตใจผมเหมือนระเบิด ผมรู้สึกต่ำต้อย ผมรักพ่อ เสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง ผมรักลิเวอร์พูล กลัวแทบตายเมื่อคิดว่าพวกเขาคงจะไม่ปราณีผม ฟุตบอลคือสิ่งเดียวที่ผมเฝ้าฝันถึง ทำไมผมต้องขโมยของด้วย? ,พระเยซูเจ้า, ไม่น่าเลยผมโง่จริงๆ ที่ทำแบบนั้น ผมมีเงินและถึงไม่มีผมก็ไม่ควรทำแบบนั้น

พ่อกับแม่พร่ำบอกผมกับพอลเสมอว่า “อย่าคิดลักขโมยเด็ดขาด ถ้าลูกต้องการอะไรไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนพ่อกับแม่จะหาให้”

ผมช่างโง่เง่าจริงๆ ผมไปขโมยของ และตอนนี้ผมก็ต้องตกนรกหมกไหม้จากการกระทำของผมเอง

เมื่อพ่อพาผมกลับมาบ้าน แม่มารอที่หน้าประตูอยู่แล้ว แม่ยอมให้พ่อดุด่าผมเพราะความผิดนี้มันร้ายแรง แต่แม่ก็ คอยดูว่าพ่อจะไม่ฟาดผมด้วยเข็มขัด ผมกับพอลเป็นลูกรักของแม่มาตลอด แม่คอยปกป้องเราเสมอ

ผมเองมักจะเถียงแม่เป็นประจำ “แม่พอทีเถอะ”  ผมเคยย้อนเวลาที่แม่จะบ่นหรือสอนอะไร ซึ่งแม่ก็จะแค่แอบยิ้มแล้วก็ยอมทุกครั้ง ความรักที่แม่มีต่อผมกับพอลถึงขนาดว่าต่อให้เราฆ่าคนตายแม่ก็จะอภัยให้ แม่ใจอ่อนกว่าพ่อ แม่รู้ว่าพ่อโกรธมากกับเรื่องที่เกิดที่วูลลี่ส์ก็เลยต้องคอยจับตาดูให้แน่ใจว่าพ่อจะไม่ตีผม

เด็กหลายคนที่ถูกจับได้ว่าขโมยหรือแอบสูบบุหรี่อาจโดนพ่อของตัวเฆี่ยนด้วยแส้หนัง แม้แต่เพื่อนอีกคนที่ก่อเรื่องด้วยกันกับผมก็โดนลงไม้ลงมือไม่น้อยที่บ้าน ส่วนผมพ่อแค่สั่งกักบริเวณแค่ 3 คืน แต่ก็มากพอจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกขังนานถึงหกเดือน

ผมไม่ได้รับความเห็นใจจากพอลแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพี่ชายของผมหัวเราะเยาะผมอย่างหนัก ตอนผมโดนกักบริเวณในห้องพอลมาเคาะประตูและกระซิบผ่านบานประตูมา

“รู้ไหมสตีวี่ ฉันจะไปในเมืองล่ะ ต้องสนุกแน่ๆ ไปด้วยกันไหม”

ขอบคุณจริงๆ พอลยังทำร้ายจิตใจผมต่อไม่เลิก

“คอมพิวเตอร์ตั้งรออยู่ชั้นล่างแน่ะ” เสียงพอลลอดผ่านประตูมาอีก “นายอยากเล่นเกมใช่ไหมล่ะ ? ”

พอลรู้ดีว่าผมออกมาจากห้องไม่ได้ เขาแค่ยั่วผมแต่ก็ทำเอาผมหัวใจแทบสลาย ผมได้ยินพอลวิ่งไปเล่นนอกบ้านและชวนพวกเด็กอื่นเล่นฟุตบอล เขาร้องเรียกเด็กอื่นๆ ทั่วไอร์ออนไซด์ด้วยเสียงดังฟังชัด

“ใครอยากเล่นบอลกันบ้าง มาเร็ว”

นี่เป็นการทรมานอย่างแท้จริง ผมได้ยินเสียงเกมฟุตบอลที่พวกเขาเล่นกัน แทบหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ เล่นกันสนุกสนาน, พูดอำกัน แม้แต่ฉลองประตู ผมหนีไปไหนไม่ได้ ห้องของผมอยู่หน้าบ้าน เพื่อนๆ มาตะโกนเรียกผมที่หน้าต่าง

“สตีวี่,สตีวี่ เกมวันนี้เจ๋งมากเลย น่าเสียดายจริงๆ ที่นายมาเล่นด้วยไม่ได้ ไม่งั้นนายต้องชอบแน่” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันโหดร้าย

เพื่อนๆ ผม,พี่ชายสุดโหด ทุกคนรู้หมดว่าผมต้องได้ยินแน่ๆ พวกเขารู้ว่าผมต้องแทบขาดใจตาย เมื่อพวกเขาเลิกตะโกนเรียกผมก็แอบดูพวกเขาเล่นบอลที่หน้าต่างด้วยความอิจฉา ผมทำผิดเองสมควรแล้วที่ถูกลงโทษขังเดี่ยวแบบนี้
ปกติแล้วผมทำตัวดีเสมอถ้าเทียบกับเด็กอื่นๆ ที่ผมคบด้วย เพื่อนผมหลายคนขโมยของในร้าน,จากปั๊มน้ำมัน แอบจิ๊กขนมหรือเครื่องดื่ม เมื่อผมอยู่ด้วยกับเพื่อนๆ ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเวลาพักผมเคยเห็นเพื่อนควักเอาบุหรี่ออกมาสูบ จุดไฟเที่ยวพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคนอื่น พวกเขาไม่สนใจหรอก บางคนไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต

อย่างไรก็ดีผมสนุกและชอบเวลาที่ได้อยู่กับพวกเพื่อนๆ แต่ผมก็ต้องคอยประคองตัวไม่ให้เดินผิดทางเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ แม้จะมีสิ่งยั่วยวนมากมายล้วนแล้วแต่ร้ายกาจ แต่ผมโชคดีที่พ่อคอยสอนให้ผมเลือกทางที่ถูกถ้าไม่มีคำสั่งสอนจากพ่อ ผมคงไม่ได้มาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

พ่อเป็นเจ้านายใหญ่ในบ้านเราเสมอ คำพูดของพ่อคือกฎ แต่พ่อไม่เคยทำเหมือนเป็นเผด็จการ ผมกับพอลไม่ต้องกลัวพ่อแม่หัวหด บางครั้งเราก็เหมือนเด็กถูกตามใจจนเหลิง เรียกร้องอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ พวกพ่อแม่พยายามให้เราตามที่จะให้ได้  แต่ผมกับพอลกลับเคารพเชื่อฟังพ่อกับแม่อย่างแทบไม่น่าเชื่อ ครอบครัวของเราใกล้ชิดกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราทานอาหารเช้า,มีเวลาน้ำชาด้วยกัน นั่งคุยกันทุกคืนตอนดูทีวีแล้วก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย บรรยากาศในบ้านยอดเยี่ยมเสมอ

พอลกับผมคงไม่อาจขอพ่อแม่ที่รักและเอาใจใส่มากกว่านี้ได้ แม่เป็นแม่บ้านที่ภาคภูมิใจ ความหิวโหยไม่เคยมาเยือนบ้านหลังนี้ ครอบครัวเจอราร์ดมีอาหารเพียงพอเสมอ ตู้ในครัวไม่เคยขาดเสบียง ถ้ามีบางครั้งที่ผมกับพอลไม่ได้บางสิ่งที่ต้องการหรือเงินขาดมือบ้าง

แม่ก็จะบอกว่า “นั่นเป็นเพราะตู้ของเราต้องไม่ว่างเปล่าจ๊ะ เรื่องนี้สำคัญที่สุด ตู้เสบียงต้องเต็มเสมอ”

ผมกับพี่ชายไม่เคยถูกห้ามทานบิสกิตหรือขนม “แต่ลูกๆ จะเข้าใกล้ตู้ขนมไม่ได้จนกว่าจะทานอาหารให้หมดเสียก่อน” นี่คือประกาศิตจากแม่

เราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอมเป็นได้แค่ฝัน ทุกๆ ปีเราจะได้ไปเที่ยวกันที่สถานตากอากาศบัตลินในเมือง Skegness  หรือ ฮอลิเดย์ ปาร์คใน Devon  เท่านั้น ลุงกับป้าของผมมักพาพวกลูกๆ มาเที่ยวกับเราด้วย รวมทั้งปู่และย่า ไปกันทั้งครอบครัว ช่างเป็นการผจญภัยแสนสนุก ผมมักฝันเฟื่องเรื่องไปเที่ยวประจำปีก่อนหน้าวันจริงนานหลายเดือน แม่วางแผนไว้เป็นอย่างๆ คอยสะสมเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้เพื่อไปเที่ยว

แม่รู้ดีว่าการได้ไปเที่ยวพักร้อนมีความหมายกับครอบครัวเราแค่ไหนโดยเฉพาะสำหรับผมและพอล บางปีถ้าผมกับพอลโชคดีแม่จะอนุญาตให้พาเพื่อนไปด้วย ผมยกให้พอลเป็นคนเลือกเพื่อนผู้โชคดี ส่วนผมก็ลิงโลดที่จะได้ไปเที่ยวและเล่นบอลกับเด็กโตกว่า เราสนุกกันมาก

“ต้องไปโรงเรียนฟุตบอลด้วย” พ่อเตือนระหว่างขับรถไปหาดลินคอล์นไชร์

อย่างผมไม่ต้องรอให้บอกหรอก แม้แต่ตอนที่เราวิ่งเล่นบนชายหาด, เอาไม้หวดลูกบอลไปรอบๆ อย่างสนุกสนาน หรือเล่นสไลเดอร์ที่สวนน้ำ ในใจผมก็คิดถึงแต่เรื่องโรงเรียนฟุตบอล

“ได้เวลาหรือยังครับ?” ผมถามพ่อ “มาเถอะ ตอนนี้เหมาะแล้วล่ะ”

ผมเซ้าซี้พ่อแบบนี้เสมอ ที่ Skegness นั้นแสนจะสะดวกสบาย ตกกลางคืนเราไปเที่ยวคลับท้องถิ่นที่มีนักร้อง, วงดนตรีมาเล่นหรือมีคาราโอเกะ เราสนุกกันมาก แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมมักจะตื่นแต่เช้า เรียกร้อง “เมื่อไหร่ผมจะได้ไปโรงเรียนฟุตบอลเสียที” ที่ Skegness เป็นสวรรค์สำหรับผมเสมอ

ผม,พอลและพ่อคุยกันเรื่องฟุตบอลตลอดเวลา พ่อผมบ้าลิเวอร์พูล พ่อมักจะซื้อวีดิโอลิเวอร์พูลมาให้ผมและเราก็นั่งดูด้วยกัน ชื่นชมความกร้าวแกร่งของแกรม ซูเนสส์, ความเยือกเย็นของอลัน แฮนเซ่น และความเหนือชั้นของเคนนี่ ดัลกลิช วันหนึ่งพ่อกลับมาบ้านพร้อมรูปภาพขนาดใหญ่ของดัลกลิช พ่อเอารูปมาให้ผมที่ห้องนอนชั้นบนบ้าน

“เคนนี่ ดัลกลิชเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลิเวอร์พูล” พ่อบอก “เขายิ่งใหญ่ ลูกติดรูปเขาไว้บนผนังสิ”

โปสเตอร์ของดัลกลิชรูปนั้นติดอยู่ที่ผนังห้องผมอยู่นานหลายปี เป็นเหมือนแท่นบูชา ผมโชคดีพอที่มีโอกาสได้เห็นคิงเคนนี่เล่นที่แอนฟิลด์เมื่อผมยังเด็กมาก ตอนประมาณ 6-7 ขวบได้ ผมเองมีเสื้อของเคนนี่เก็บไว้ที่ห้องโชว์ของสะสมของผมที่บ้านหลังปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นผมรักที่จะยืนอยู่ที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป ถูกร่ายมนต์สะกดโดยเคนนี่, เอียน รัช, จอห์น บาร์นส และ สตีฟ แมคมาน นักเตะชั้นยอดทั้งนั้น

ผมได้เห็นช่วงเวลาแห่งแชมเปี้ยนหลายครั้ง และในปี 1989 ผมยืนอยู่ที่เดอะ ค็อป สแตน หัวใจสลายเมื่อได้เห็นไมเคิล โทมัสดับฝันลิเวอร์พูลในการเป็นแชมป์ลีกด้วยประตูในท้ายเกมการแข่งขัน ผมยังจำได้ถึงภาพของแฮนเซ่นชูถ้วยแชมป์ได้ในปีถัดมา ช่างเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ ทุกวันนี้ผมตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเจริญรอยตามแฮนเซ่นนำแชมป์ลีกกลับมาถิ่นแอนฟิลด์ให้จงได้

แค่ตอนที่ผมไปฝึกฟุตบอลกับลิเวอร์พูลตอนอายุ 8 ขวบเท่านั้นที่ทำให้ผมกลายมาเป็นคอปไพต์อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่รู้สักนิดว่าจะเชียร์ทีมไหน สัปดาห์หนึ่งผมก็ไปอยู่ที่อัฒจันท์พานินี่ที่กูดิสันปาร์ค อีกสัปดาห์ผมก็ไปร้องเพลงยืนโยกไปมาที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป หัวใจของผมถูกยึดครองโดยฟุตบอล แต่ไม่ได้แบ่งแยกสี แต่คนอื่นๆ ไม่ได้เห็นด้วยกับการนี้ กับพ่อ เราต้องเลือกเอาว่าจะเป็นสาวกสีแดงไม่ก็ยอมตาย

“ลิเวอร์พูลๆๆ” พ่อกรอกหูผมด้วยคำๆ นี้ตลอดเวลาเหมือนเป็นบทเพลงสวด
แต่ก็เช่นเดียวกับครอบครัวอื่นๆ ในเมอร์ซี่ไซด์ซึ่งมีทั้งสายเลือดสีแดงและสีน้ำเงินผสมปนเปกันไปในทุกครอบครัว พี่ชายของแม่ผม ลุงเลสลี่ เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของเอฟเวอร์ตัน ลุงมีตั๋วปี, ผ้าพันคอ, ธง และของสะสมเอฟเวอร์ตันเต็มบ้าน บ่อยครั้งที่ลุงเลสลี่จะมาที่บ้านหลังเกมเอฟเวอร์ตัน เอาชุดฟุตบอลเอฟเวอร์ตันมาเป็นของกำนัลเสมอเพื่อจะพยายามกล่อมผมให้หันไปเชียร์เอฟเวอร์ตันด้วย

ถ้าลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ยากเลยที่จะเจอรูปผมวัยเด็กในชุดเอฟเวอร์ตันเต็มยศ เสื้อสีน้ำเงิน,กางเกง, ถุงเท้า และอุปกรณ์ครบชุด เมื่อผมเริ่มเป็นที่รู้จักที่ลิเวอร์พูลกลุ่มแฟนเอฟเวอร์ตันบางกลุ่มมีรูปนี้และพิมพ์มาเผยแพร่ พวกเขาต้องรักมันแน่ เพราะเมื่อหนังสือพิมพ์เดอะ มิเรอร์ ได้ข่าวเกี่ยวกับรูปนี้ ก็ตามหารูปมาจนได้และนำไปตีพิมพ์ต่อ

เมื่อผมเริ่มโด่งดังอยู่กับลิเวอร์พูลรูปนี้ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง รูปนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่คิดว่ารูปนี้ถูกทำปลอมขึ้นมา แต่ผิดครับ รูปนี้เป็นของแท้แน่นอนถ่ายไว้เมื่อปี 1987 รูปผมเองแต่งชุดเอฟเวอร์โตเนี่ยน และไม่ใช่แต่งไปงานแฟนซีหรือท้าพนันกับใครที่ไหน ลุงเลสลี่พาผมไปชมเกมที่กูดิสันตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมได้เข้าชมหลายเกมระหว่างเส้นทางไปสู่แชมป์ลีกของเอฟเวอร์ตันฤดูกาลนั้น

ผมเล่นเกมชนะตอนไปชมเกมและได้รางวัลให้ไปถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์ลีกและถาดแชริตี้ ชิลด์ ที่กูดิสัน ลุงเลสลี่ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะทำเอาพ่อผมเดือดจนแทบพุ่งทะลุหลังคาบ้านและก็จริงเสียด้วย พ่อแทบเต้นเมื่อนึกเห็นภาพลูกชายคนเล็กในชุดสีน้ำเงิน ยืนอย่างสุดแสนภูมิใจในห้องถ้วยรางวัลที่กูดิสัน

“สตีเว่นจะไม่ไปที่นั่น” พ่อบอกลุงเลสลี่ไม่หยุด

“ลูกจะไม่ไปที่นั่นสตีเว่น” พ่อบอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ผมอยากไป ผมตื่นเต้นกับรางวัล โธ่! ก็ผมแค่เด็กเจ็ดขวบที่บ้าบอลสุดหัวใจ ไม่เข้าใจสักนิดถึงความเป็นอริระหว่างเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูล

ในตอนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ลุงเลสลี่มาหาเราที่บ้านเพื่อช่วยเตรียมตัว เขาเอาชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมของเอฟเวอร์ตันมาให้ด้วย ผมแกะห่ออย่างตื่นเต้นรีบสวมเสื้อสีน้ำเงินตัวใหม่ทันทีไม่สนแม้เนื้อผ้าจะแข็งกระด้างแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปกูดิสันกับลุงเลสลี่ ทิ้งพ่อที่เดือดดาลไว้เบื้องหลัง ผมว่าพ่อคงแอบคิดจะตัดขาดผมไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น

ที่กูดิสันลุงเลสลี่พาผมไปที่ห้องแสดงถ้วยรางวัล ยิ้มแป้น มีคนถ่ายรูปเต็มไปหมด ทุกวันนี้เมื่อหัวใจทั้งดวงของผมตกเป็นของลิเวอร์พูลไปหมดแล้ว ผมเคยมองย้อนไปถึงเหตุการณ์นี้ก็ได้แต่สงสัยตัวเองว่าทำแบบนั้นไปได้อย่างไร ผมขอโยนความผิดไปให้กับความอ่อนเดียงสาก็แล้วกันครับ ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกันทั้งนั้น
เอฟเวอร์ตัน, ลิเวอร์พูล หรือทีมไหนๆ ก็ตาม ในช่วงเวลานั้นสำหรับผมเป็นแค่โอกาสที่จะได้จับจองเป็นเจ้าของชุดฟุตบอลใหม่ๆ การเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลให้ได้มากที่สุดกลายเป็นงานอดิเรกที่จริงจัง ทุกคริสมาสต์ผมจะได้ชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมสองชุดเป็นของขวัญ ส่วนวันเกิดยิ่งได้เยอะกว่านั้น ผมคงหน้าเหมือนยักษ์ถ้างานไหนไม่ได้ชุดกีฬาเป็นของขวัญ พ่อกับแม่ผมสุดยอดมากในเรื่องนี้ พวกท่านรู้ว่าเสื้อจากสโมสรต่างๆ ไม่ซ้ำกันมีความหมายกับผมแค่ไหน

ด้วยความช่วยเหลือจากคุณตา และเงินรายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่แม่หาได้จากการดูแลคุณตา พวกท่านเก็บเอาไว้ซื้อชุดให้ผมทั้งนั้น ผมมีทั้งชุดของทอตแน่ม, แมนซิตี้ และแน่นอนขาดไม่ได้ ชุดลิเวอร์กับเอฟเวอร์ตัน สมุดสติกเกอร์พานินี่ถูกผมสำรวจปรุโปร่งทุกหน้า ทุกหน้าถูกกากบาท ทุกชุดต้องเป็นเจ้าของให้ได้

“แม่ครับ” ผมมักตะโกนมาจากชั้นบนอย่างตื่นเต้น “ผมอยากได้เสื้อใหม่เอี่ยมของสเปอร์ส นะครับ”

หนังสือแคตตาล็อกและร้านขายเสื้อไม่ใช่จะเพียงพอจะสนองความคลั่งไคล้ของผม รายการ  Match of the Day  ก็เปรียบเสมือนเวทีแฟชั่นชุดฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านี้ยั่วยวนใจให้ผมหลงใหล ถ้าอาทิตย์ไหนมีเกมระหว่างเอฟเวอร์ตันกับทอตแน่มฉายทางทีวี พอจบเกมปุ๊บผมจะแล่นออกไปที่ถนนในชุดของทีมผู้ชนะทันที จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในเกมนั้น ดวงตาผมเป็นประกายเหมือนดวงดาว ร่างกายผมก็ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อที่ปักชื่อดารานักเตะอยู่บนแผ่นหลัง

เสื้อตัวโปรดของผมเป็นเสื้อของเนวิลล์ เซาธ์ทอล เสื้อโกล์เอฟเวอร์ตันเป็นชุดเก่งของผม ผมเคยใส่เสื้อตัวโปรดนี้โดยไม่ยอมถอดอยู่หลายวัน ผมแต่งตัวเหมือนเซาธ์ทอลเป๊ะ ถุงเท้าร่นลงต่ำเล็กน้อยพอให้มองเห็นบางส่วนของสนับแข้ง ซอนดิโก้  พี่เบิ้มเนฟมักจะสวมสตั๊ด ไฮ-เทค ผมเลยขอให้พ่อกับแม่ซื้อรองเท้าแบบเดียวกันเปี๊ยบให้

ผมรักเซาธ์ทอล เมื่อไหร่ที่ผมไม่นึกอยากเล่นตำแหน่งในสนาม ผมก็จะหยิบเอาชุดโกล์มาสวมสมมติว่าตัวเองเป็นเนวิลล์ เซาธ์ทอลผู้ยิ่งใหญ่ พุ่งตัวไปบนสนามหญ้า โจนไปแย่งบอลที่เท้าเพื่อน ทำตัวกล้าหาญเหมือนเพิ่งเซฟประตูสำคัญๆ ได้เหมือนฮีโร่เอฟเวอร์ตันตัวจริง เนวิลล์ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมรักความผูกพันที่เขามีต่อฟุตบอล มันจะเป็นเหมือนวินาทีที่ยิ่งใหญ่เสมอถ้าผมเปิดสติ๊กเกอร์สะสมของพานินี่เจอรูปของเนวิลล์ เซาธ์ทอลเข้า  ผมดีใจอยู่เป็นชั่วโมงๆ ทุกครั้ง ผมวิ่งไปทั่วละแวกบ้านชูสติ๊กเกอร์ไปมาเหมือนมันเป็นถ้วยรางวัล

สติ๊กเกอร์, ชุดฟุตบอล การไปชมเกม และเล่นฟุตบอลคือชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยฟุตบอลของผม อย่างที่ผมบอกไว้ตลอดมา และความคลั่งไคล้นี้เองที่เป็นช่องทางนำผมก้าวเข้าไปหา สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

***** จบบทที่ 2 ****

Leave a comment