GERRARD: MYAUTOBIOGRAPHY Part 3

Posted in Uncategorized on November 4, 2008 by bertbert

6-gerrard-2

บทที่ 3
วันเวลาในโรงงานแห่งความฝัน

การได้เข้าไปมีส่วนร่วมในสโมสรลิเวอร์พูลเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นความรัก ซึ่งคุณๆ ทุกคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลคงเข้าใจดีเหมือนกันหมดว่าเป็นรักไม่รู้จบที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหือดแห้ง คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายที่แอนฟิลด์ ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่ลิเวอร์พูลผมเองมีโอกาสเลือกไปอยู่กับสโมสรชั้นนำแห่งไหนๆ ก็ได้ มีหลายสโมสรมาเชื้อเชิญให้ผมไปฝึกฟุตบอลด้วยอยู่เนืองๆ  แมน ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม,เอฟเวอร์ตัน,สเปอรส์ หรือสโมสรดังๆ ที่ไหนลองเอ่ยชื่อมาเถอะ มีทั้งนั้น

ผมได้รับจดหมายจากสโมสรต่างๆ ส่งมาให้ที่บ้านอยู่ตลอด ล้วนแล้วแต่พรรณนาว่าพวกเขาต้องการผมมากแค่ไหน ต่างยืนยันว่าจะทำให้ผมรุ่งเรืองเมื่อเลือกไปอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา “เราจะสร้างคุณให้ยิ่งใหญ่” จดหมายเหล่านั้นบอกเหมือนๆ กัน “ร่ำรวยและมีชื่อเสียงโด่งดัง” 

คำเชิญชวนเหล่านี้ไม่มีผลกับผม จุดหมายปลายทางแห่งเดียวที่ดีที่สุดคือแอนฟิลด์ พ่อยืนกรานและปลูกฝังผมมาตลอด แอนฟิลด์เหมาะที่สุด คิดดูการได้ไปฝึกฟุตบอลกับสโมสรที่ผมบูชาได้เรียนกับตำนานฟุตบอลที่มี “ความเชื่อใจ” เป็นเครื่องหมายประจำตัว มีนักฟุตบอลที่เป็นคนดี ซื่อตรง ทำหน้าที่ดูแล โรงเรียนฟุตบอลเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นอะคาเดมี่ ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนที่เคิร์กบี้

ครั้งแรกที่ผมได้พบกับสามแกนหลักของโรงเรียนฟุตบอลเยาวชนลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์, เดฟ แชนนอน และฮิวอี้ แมคคอเลย์ ผมรู้โดยสัญชาติญาณได้ทันทีว่าพวกเขาจะดูแลผมเป็นอย่างดี บอกได้ชัดเจนจากการจับมือที่หนักแน่นและอบอุ่น รวมไปถึงการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งแรกที่พบกัน

สตีฟเป็นตำนานคนหนึ่งของลิเวอร์พูล นักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมจากยุคปี 1970 เดฟรู้จักสนิทสนมกันดีกับ เบน แมคอินไทร์ ผู้จัดการทีม วิสตัน จูเนียร์ ทีมฟุตบอลซันเดย์ลีกที่ผมเล่นอยู่ และนี่เป็นการก้าวอย่างง่ายๆ จากวินสตันมาสู่ลิเวอร์พูล ตอนแรกผมยังเล่นให้กับวินสตันไปควบคู่กัน และได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกที่นั่น ในการแข่งขันทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปี กับทีมอื่นๆ จากทั่วทุกมุมโลก แต่ความสนใจหลักของผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลเท่านั้น

ผมแทบรอจะเริ่มต้นไม่ไหว มาเร็ว ส่งลูกบอลมาให้ผม สอนให้ผมเรียนรู้แล้วผมจะแสดงให้ดูว่าผมทำอะไรได้บ้าง ความฝันของผมเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว ไฮเวย์,แชนนอน และแมคคอเลย์จัดให้มีการฝึกซ้อมที่น่าประทับใจทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดีที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงส์เตอร์ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดในแต่ละสัปดาห์ ผมเฝ้านับวันเวลาในแต่ละอาทิตย์ที่จะได้ไปโบยบินที่โรงยิมของศูนย์  สถานที่ที่เปรียบเสมือนแอนฟิลด์ หรือแม้แต่เวมบลีย์สำหรับเรา

นอกจากจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชฝีมือเยี่ยมแล้ว การมาฝึกฟุตบอลที่ลิเวอร์พูลผมยังได้เพื่อนร่วมทีมที่เข้าขาอีกด้วย ไมเคิล โอเว่น และเจสัน คูมาส เรียนรุ่นเดียวกับผมที่ลิเวอร์พูลและเราเข้ากันได้ดีอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงดึงดูดจากพรสวรรค์ของเรา

เราทั้งสามคนเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าจะตักตวงสิ่งที่ดีที่สุดจากเวอร์นอน แซงส์เตอร์ได้อย่างไร เราจับมือทักทาย สตาฟฟ์ทุกคนด้วยความนับถือตามวิถีของลิเวอร์พูล เราฝึกทักษะ ซ้อมครองบอล และอื่นๆ อยู่เป็นชั่วโมง แต่ยังก่อน ตอนที่ดีที่สุดยังจะมีตามมาหลังสุด ไมเคิล,เจสัน และตัวผมเอง รู้ว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนจะได้เล่นเกมฝั่งละห้าคน

“คนที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูลไปอยู่ด้านโน้น” เดฟ แชนนอนตะโกนสั่ง “คนที่เหลืออยู่อีกด้าน”

เด็กๆ หลายคนใส่เสื้อผ้าต่างๆ นาๆ มาซ้อม แต่ผม ไมเคิล และเจสันเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เรานัดกันเรื่องเสื้อที่จะใส่ล่วงหน้า เพื่อว่าถึงตอนแบ่งทีมห้าคนเราก็ได้อยู่ทีมเดียวกันเสมอ

“ดีละ” ไมเคิลเสนอ “งั้นคราวหน้าเราก็ใส่เสื้อชุดเยือนลิเวอร์พูลมาเหมือนกันนะ”

ผมกับเจสันจะมาซ้อมในเสื้อลิเวอร์พูลแบบเดียวกันเสมอ เมื่อไหร่ที่เรานัดกันใส่ชุดที่ผมไม่มี ผมก็จะอ้อนวอนขอพ่อกับแม่ตลอดทางที่พวกท่านมารับผมกลับบ้าน

“พ่อ แม่ ผมต้องมีเสื้อตัวนี้ ไม่อย่างนั้นผมกับไมเคิล กับเจสันจะไม่ได้เล่นทีมเดียวกัน นะครับๆๆๆๆ”

พ่อแม่ที่น่าสงสาร ผมกดดันพวกท่านเต็มที่ นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถพร่ำอธิบายว่าผมจะขายหน้าแค่ไหนถ้าไม่มีชุดที่ถูกต้อง ปกติพ่อกับแม่ก็จะยอมให้ผมตลอด ขอบคุณพระเจ้า ความคิดที่ว่าผมจะต้องทำให้ไมเคิลกับเจสันผิดหวังทำให้ผมแทบไม่สบาย

เจสันเองเล่นฟุตบอลได้ดี เขาตั้งความหวังจะเล่นฟุตบอลอาชีพให้ได้ แต่ไมเคิลโดดเด่นที่สุด แม้จะด้วยวัยเพียง 8 ปี ไมเคิลก็พิเศษกว่าเด็กอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเหมือนดาวจรัสแสง ทุกๆ คนที่รู้จักเขารู้ดีว่า ไมเคิลถูกส่งมาโลกใบนี้เพื่อทำลายล้างผู้รักษาประตูทุกคน ในการฝึกซ้อมฝั่งละห้าคนที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอนฯ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่นร่วมทีมกับไมเคิล เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้สัมผัสพรสวรรค์อันไม่น่าเชื่อของเขา

ไมเคิลเล่นฟุตบอลเด็กในแถบเมอร์ซี่ไซด์มาตลอดและทำลายสถิติทุกสถิติที่เคยมีมาในแถบดีไซด์ ตอนที่เขาเร่งฝีเท้าเต็มสปีดในเกมที่ศูนย์เวอร์นอนฯ ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุนมาเยือน วินาทีที่ได้เห็นไมเคิลวิ่งเข้าหาผู้รักษาประตู ฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความเร็วและการจับบอลอันสวยงาม ผมรู้สึกชื่นชมพรสวรรค์ที่เหนือธรรมดาของเขา พรสวรรค์ที่ไม่ใช่แค่พูดแต่ถึงกับตะโกนให้โลกได้รับรู้ จากสัมผัสแรกผมเข้าใจทันทีว่าเกมของไมเคิลคือการล่าประตูโดยธรรมชาติ ส่วนไมเคิลก็ตระหนักว่าผมผ่านบอลได้ดี เราทั้งสองจึงเล่นเข้าขากันได้ตั้งแต่ต้น

คนอื่นๆ เข้าใจว่าผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันตลอดเพราะเราสนิทกัน แต่เปล่าเลย ผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันเสมอเพื่อเหตุผลเดียวกัน ชัยชนะ ง่ายๆ แค่นั้นเอง นั่นคือเส้นทางสายเดียวที่ผมกับไมเคิลเลือกเสมอ เราทั้งคู่เกลียดการพ่ายแพ้ หลังเกมจบเราคุยกันเสมอแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องฟุตบอล ผมส่งบอลให้ไมเคิลในตำแหน่งที่เขาจะสร้างความเสียหายได้มากที่สุด
จนทุกวันนี้ผมกับไมเคิลยังมีเรื่องขำขันเกี่ยวกับวันเวลาที่เราเล่นอยู่ในทีมลิเวอร์พูลชุดอายุต่ำกว่า 12 ปี ไมเคิลจะพูดเสมอว่า “ทุกครั้งที่สตีวี่ได้บอลก็จะส่งต่อให้ผม” และผมมักจะจบประโยคด้วย “และทุกครั้งที่ผมส่งให้ ไมเคิลก็ยิงประตู”
ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นการได้ร่วมทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูลดูจะไกลเกินฝัน ในวัยเด็กผมแค่มุ่งมั่นไปกับการพัฒนาตัวเองภายใต้การฝึกสอนของสตีฟและเดฟ ผมจะหัวเสียถ้าผมไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในการฝึกซ้อม บนรถระหว่างเดินทางไปศูนย์เวอร์นอน แซงส์เตอร์พ่อจะกรอกหูผมตลอดเวลาเรื่องรักษาวินัย

“ต้องพร้อมเสมอ” พ่อเน้น

“อย่าคุยตอนซ้อม และทำให้ดีที่สุดเสมอ”

การเกื้อหนุนของพ่อไม่มีวันจบ เมื่อผมเริ่มไปฝึกฟุตบอลจริงๆ จังๆ พ่อไม่เคยพูดสักคำถึงเรื่องทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ พ่อแค่มุ่งสมาธิไปยังแต่ละเกมที่รออยู่ข้างหน้าหรือไม่ก็การฝึกซ้อมคราวต่อไปเท่านั้น

ผมจำได้มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมเกิดเหนื่อยและคิดว่าไม่อยากไปฝึกซ้อม พ่อพาผมไปนั่งที่ห้องโถง

“ทำไมถึงไม่อยากไปเรียนฟุตบอล” พ่อถามเหตุผล

“ถ้าลูกอยากหยุดพ่อจะโทรไปบอกโค้ชไฮเวย์ให้เองว่าวันนี้ลูกเรียนหนักที่โรงเรียน”

พ่อไม่ได้กดดันผมมากจนเกินไป สิ่งที่พ่อทำคือการให้กำลังใจผมตลอดมา

“สตีเว่น ลูกควรไปซ้อมมันจะดีกับตัวลูกเอง” พ่อเสริม “ลูกจะต้องสนุกแน่ ลูกจะต้องทำได้ดี”

พ่อเชื่อมั่นในตัวผมเป็นอันมาก รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวโค้ชอย่างสตีฟและเดฟ

“ถ้าลูกตั้งใจเรียนและพัฒนาตัวเองเสมอ โค้ชจะปั้นให้ลูกเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจแน่ๆ”

พ่ออธิบาย

“ถ้าลูกไม่ไปซ้อมเด็กคนอื่นๆ ก็จะแซงหน้าลูกเพียงเพราะลูกขาดซ้อม พ่อจะไม่บังคับให้ลูกไป แต่ยิ่งลูกไปฝึกซ้อมบ่อยลูกก็ยิ่งจะได้เรียนรู้มากขึ้นและเล่นดียิ่งๆ ขึ้น”

ด้วยคำพูดของพ่อ ผมก็เปลี่ยนใจไปฝึกซ้อมในวันนั้น
พ่อแม่ของผมรู้เสมอว่าลิเวอร์พูลต้องการนักฟุตบอลที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีอยู่วันหนึ่งผมได้ยินพ่อคุยกับแม่

“สตีฟ ไฮเวย์ และเดฟ แชนนอนมักจะคอยดูเสมอว่านักฟุตบอลของพวกเขาทำตัวยังไง เราต้องให้สตีเวนเป็นตัวแทนที่ดีของลิเวอร์พูล”

มีมาตรฐานหลักๆ ที่ลิเวอร์พูลตั้งไว้ ต้องเรียบร้อย, ต้องตรงเวลา พ่อกับแม่ไม่มีวันยอมให้ผมออกจากบ้านไปศูนย์กีฬาหรือไปทำกิจกรรมอะไรเกี่ยวข้องกับทีมลิเวอร์พูลเด็ดขาด ถ้าทรงผมของผมไม่เรียบแปล้จนเงาวับหรือชุดที่ใส่ไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง บางครั้งผมอยากใส่รองเท้าคู่เก่งไปศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงสเตอร์ รองเท้าที่ทั้งเก่าทั้งมีรูพรุนอันเนื่องมาจากเผชิญเกมหนักหน่วงจากริมถนนไอร์ออนไซด์มาแล้วอย่างโชกโชนรองเท้าสุดรักของผม

“ลูกจะไม่ใส่รองเท้าคู่นั้นไปซ้อมนะ” พ่อยืนกราน “เดี๋ยวจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้”

แม่เองถึงกับรีดชุดซ้อมฟุตบอลให้ผม

รีดเนี่ยนะ!

ผมได้แต่ยืนมองอย่างอัศจรรย์ใจตอนที่แม่จับจีบแขนเสื้อด้วยเตารีด เสื้อกลีบโง้งไร้รอยยับย่นบ่งบอกถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้าของแม่ที่จะทำให้ผมดูหล่อเนี๊ยบที่สุด ไม่มีใครที่ไหนรีดเสื้อผ้าฟุตบอลกันนอกจากแม่ผม ชุดเสื้อกับกางเกงจะถูกจัดให้เข้าคู่กันเป็นอย่างดี ผมจะใส่เสื้อทีมเหย้าลิเวอร์พูลกับกางเกงชุดเยือน หรือกางเกงสเปอรส์กับเสื้อลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดแม่ไม่มีวันยอมให้มีความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้น

“ลูกต้องเคารพต่อทีมลิเวอร์พูล” แม่บอกเสมอ

พ่อแม่ผมสุดแสนจะภาคภูมิใจที่ลูกชายได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูล พวกท่านต้องการแน่ใจว่าผมจะทำดีที่สุดเสมอ ไม่กลายเป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ หรือ ดีแต่ปาก

ภายใต้การปลุกปั้นโดยสตีฟและเดฟ ผมได้รับความเชื่อถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในลิเวอร์พูล เมื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของทุกๆ ปีผมมักกังวลว่าสตีฟจะเก็บผมไว้ในทีมไหม ผมกระวนกระวายเฝ้ารอจดหมายยืนยันจากทางลิเวอร์พูล

“บอกสตีเวนว่าไม่ต้องวิตก” ไฮเวย์บอกพ่อผมทุกปี “เขาจะได้เล่นที่นี่แน่นอน ที่นี่มีรองเท้าเตรียมไว้ให้เขาเสมอ”

ผมทำผลงานดีมาตลอดค่อยๆ สร้างชื่อและสนุกสนานไปกับการฝึกซ้อม ตอนที่ผมอายุ 14 สตีฟเรียกพวกเราสี่คนให้เข้าไปพบที่ห้องทำงาน มีผม, ไมเคิล, สตีเฟ่น ไรท์ และนีล เมอร์ฟี่

ไรท์ตี้เล่นให้ลิเวอร์พูลช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมกับซันเดอร์แลนด์ ส่วนเมอร์ฟี่เคยเล่นตำแหน่งแบ๊คขวาให้กับทีมสำรองลิเวอร์พูล ปัจจุบันเขาไปสอนเด็กๆ ที่อะคาเดมี่

ในตอนนั้นสตีฟมีข่าวดีสำหรับเราทั้งสี่ “พวกเธอได้รับคำเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้าที่ลีลล์แชล”

ลีลล์แชล! โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ ผมแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่เป็นสุดยอดสำหรับเส้นทางนักเตะอาชีพ มีแต่คนที่เก่งที่สุดถึงจะเข้าเรียนที่นี่ได้ พระเจ้าช่วย! นรกช่วย! นี่เป็นความจริงใช่ไหม ลีลล์แชลเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนสปริงบอร์ดสู่ความสำเร็จ การทดสอบฝีเท้าต้องเต็มไปด้วยการแข่งขันเข้มข้น ผมเข้าใจดี ทุกๆ คนอยากเข้าโรงเรียนทีมชาติกันทั้งนั้น
ในการคัดตัวรอบแรกจะมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมเป็นร้อยๆ คนมาจากทุกพื้นที่ในอังกฤษ ทุกๆ คนฝันถึงสิ่งเดียวกัน โอกาสได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชล หลังจากการทดสอบฝีเท้าต่อเนื่องจำนวนคนที่ได้อยู่ต่อก็จะเหลือน้อยลงๆ พร้อมกับความใฝ่ฝันของเด็กบางคนที่ถูกทำลายลง จากนั้นก็จะมีการคัดเหลือ 50 คน, 30 คน และท้ายที่สุดจะเหลือแค่ 24 คน เป็นเรื่องโหดร้าย มีคนเพียงน้อยนิดที่จะรอดชีวิต

หลังจบการคัดตัวแต่ละรอบผมก็จะได้รับจดหมายที่บ้าน “ขอแสดงความยินดี คุณได้รับคัดเลือกไปคัดตัวรอบต่อไป” ผมตัวลอย ลีลล์แชลอยู่แค่เอื้อม

ในรอบลึกๆ การแข่งขันยิ่งเข้มข้น นอกจากผมกับไมเคิล โอเว่น ยังมีนักเตะดีๆ อีกมากมายอยู่ในเส้นทางเดียวกัน อย่างเช่น ไมเคิล บอลล์ แบ๊คซ้ายฝีเท้าเยี่ยมของเอฟเวอร์ตันที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับเรนเจอร์ส, เคนนี่ ลันท์ ยอดมิดฟิลด์จากถิ่นครูว์ อเลกซานดร้า

ผมยังคงฝันหวานถึงที่ของผมในลีลล์แชล เวลาว่างผมก็แอบสำรวจฟอร์มคู่ต่อสู้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ ไม่มีใครอื่นเก่งกว่าผม ด้วยความสัตย์จริง ไม่มีสักคน ผมไม่เคยเขินอายในเวลาทดสอบ ผมยืนถูกตำแหน่ง,แทคเกิลหนัก และส่งบอลอย่างชาญฉลาด เจ้าหน้าที่ของลีลล์แชลจะต้องประทับใจแน่ ผมเล่นไปตามฟอร์มของตัวเองโดยมีแรงผลักดันจากความมุ่งมั่นเต็มที่เพื่อชัยชนะจนแทบเจ็บปวด ผมมีความสามารถ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครผ่านบอลได้ดีกว่าผม ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรของผมและลิเวอร์พูลรับแต่เด็กชั้นดีเข้าร่วมทีม ลีลล์แชลต้องเลือกผมเข้าทีมอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อด้อยหนึ่งเดียวที่ผมคิดได้คือคู่แข่งทุกคนตัวใหญ่กว่าผม ผมตัวเล็กจริงๆ ในตอนนั้นและต้องเผชิญหน้ากับเด็กที่สูงใหญ่และแข็งแรงกว่าผมในตำแหน่งเดียวกัน ไมเคิล โอเว่นก็ตัวเล็กแต่เขามีความเร็วที่ทำให้คู่แข่งคนอื่นกลายเป็นถังขยะไร้ค่า แต่สำหรับผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

ตอนแรกรูปร่างดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมก้าวหน้าไปเรื่อยๆ กับการทดสอบแบบคัดออกที่ลีลล์แชลล์ คำตอบรับดูจะเป็นของตาย ผมเริ่มคิดถึงการใช้เวลาสองปีที่นั่น เรียนรู้ที่จะก้าวไปเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ ทางด่วนสู่ชื่อเสียงและโชคดี
ทุกๆ เช้า ผมออกงิ้วกับบุรุษไปรษณีย์เมื่อพบเขาที่หน้าบ้าน

“มีจดหมายไหมครับ? จดหมายจากลีลล์แชลล์ของผมอยู่ที่ไหน”

การทดสอบรอบสุดท้ายผ่านไปแล้วผมรู้ดีว่าจดหมายอยู่ระหว่างทาง กิจกรรมทั้งหมดของครอบครัวหยุดนิ่งระหว่างเรารอจดหมายฉบับเดียวนี้ เช้าวันหนึ่งผมได้รับจดหมายในที่สุด ผมอยู่บนบ้านยังไม่ออกจากห้องนอน พ่อไปที่ตู้จดหมายเป็นคนแรกหยิบจดหมายออกจากตู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นจดหมายจากโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ พ่อเปิดจดหมายออกอ่านโดยรู้ดีว่าจดหมายนี้สำคัญกับผมเพียงไร ผมได้ยินเสียงพ่ออยู่ที่ประตูพ่อเปิดซองดึงจดหมายออกมา

ความเงียบแทบฆ่าผม “ใช่แล้ว!” พ่อต้องตะโกนลั่นไปแล้ว แต่เปล่าเลย พ่อแค่บอกกับผม “จดหมายมาแล้ว”

ความผิดหวังในน้ำเสียงของพ่อไม่ต่างอะไรกับเสียงระฆังกังวานจากงานศพในโบสถ์ เมื่อผมลงไปถึงชั้นล่างผมเห็นพ่อยืนอยู่ที่ห้องโถงถือจดหมายเอาไว้ความผิดหวังแสดงชัดบนใบหน้า ลีลล์แชลไม่รับผม

หัวใจผมแหลกสลาย วิ่งกลับขึ้นห้องนอน พระคริสต์ทรงโปรด น้ำตามันช่างไหลมาจากไหนไม่รู้ ไม่หยุดหย่อน นี่คือจุดจบ มันเลวร้ายเหลือเกิน พ่อเดินขึ้นบันได้ตามมาช้าๆ รับรู้ถึงความโศกเศร้าของผม พ่อรู้ดีว่าผมอยากเข้าเรียนที่ลีลล์แชลเหลือเกิน พ่อเดินเข้ามาในห้องนอนมองดูผมนอนเอาหมอนปิดหน้า ผมเสียใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด น้ำตาทะลักออกมาไม่หยุด ความฝันเรื่องอาชีพฟุตบอลของผมพังทลายไม่มีชิ้นดี

ผมรู้สึกว่าผมไม่ดีพอ ผมเนี่ยนะ! กัปตันทีมลิเวอร์พูลบอยส์ นักเตะที่ได้รับการยอมรับที่ลิเวอร์พูล แม้แต่สโมสรยักษ์ใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยไล่ตามผม ถ้ามีคนของลีลล์แชลสักคนอยู่ในห้องกับผมด้วยผมจะฆ่าเขา พวกเขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไงกัน? ผมรู้ว่าผมเก่งพอ ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าผมไม่ดีพอ ไม่มีเลย ความผิดหวังครั้งแรกทำผมเจ็บปวดปางตาย กลัวเหลือเกินที่ข่าวจะต้องแพร่สะพัดไปทั่วลิเวอร์พูล

ไมเคิลต้องได้เข้าลีลล์แชลแน่นอนอยู่แล้ว เจมี่ คาราเกอร์และเด็กอื่นๆ จากลิเวอร์พูล รวมทั้งเจมี่ แคสสิดี้ก็เรียนที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว รวมไปถึงทอมมี่ คัลชอวส์ มิดฟิลด์จากลิเวอร์พูลก็ได้ไป ผมแค่ต้องการไปร่วมเรียนกับพวกเขา

พ่อแค่อยากช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมเปิดหมอนออกมองหน้าพ่อผ่านม่านน้ำตา

“ผมทนไม่ได้หรอก อาชีพฟุตบอลคงจบเห่” ผมระบาย

พ่อเยี่ยมยอดเหมือนเคย ปาดน้ำตาให้และปลอบโยน

“ฟังนะลูก ลูกทำดีที่สุดแล้วจนมาถึงจุดนี้” พ่อบอกกับผมขณะนั่งบนขอบเตียง

“พ่อดูลูกตอนทดสอบฝีเท้าทุกครั้งและลูกไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ที่นั่น บางทีที่ลีลล์แชลไม่รับลูกอาจเพราะลูกตัวเล็กไป หรือไม่พวกเขาก็อาจสอบถามไปที่คาร์ดินัล ฮีแนนแล้วรู้สึกว่าลูกอาจทนไม่ไหวถ้าต้องจากบ้านไปถึงสองปี นี่ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่ใช่นักฟุตบอลที่ดีสักนิด ลูกเป็นคนเก่ง พ่อรู้ ลูกรู้ และที่สำคัญลิเวอร์พูลก็รู้เรื่องนี้”

ในความผิดหวังแทบตายผมค่อยเบาใจได้กับคำพูดของพ่อ บางทีอาจไม่เกี่ยวอะไรกับฝีเท้าของผมเลยก็ได้ ในจดหมายจากลีลล์แชลพวกเขาไม่ได้อธิบายเหตุผลที่แน่ชัดอีกด้วย

“คุณเป็นผู้เล่นที่ดี อย่ายอมแพ้” พวกเขาเขียนไว้ “บางครั้งไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลที่เราเลือกคนอื่นให้ก้าวไปอีกขั้นแทนคุณ มีเหตุผลอื่นประกอบอีกมากมาย”

เหตุผลบ้าบออะไรกันเล่า!!
เสียงหนึ่งกระซิบในหัวผม  เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮายตันเป็นพื้นเพที่พวกชั้นสูงอย่างโรงเรียนแห่งชาติดูแคลน โรงเรียนลีลล์แชลคิดว่าผมจะเป็นพวกเด็กบ้านนอกมารยาททรามที่จะไปทำให้พวกนักเรียนดีๆ เสื่อมเสียงั้นหรือ? ผมไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด ด้วยความสัตย์จริง ผมทำตัวเงียบๆ ตอนไปทดสอบฝีเท้าทุกครั้ง เรียบร้อยและสุภาพ ผมทำสิ่งถูกต้องเสมอ

ก่อนการไปทดสอบฝีเท้าสตีฟ ไฮเวย์ เตือนพวกเราแล้วว่าสตาฟฟ์ที่ลีลล์แชลจะเฝ้าดูเราตลอดแม้แต่เวลารับประทานอาหารว่าเราสุภาพหรือไม่ ผมพยายามวางตัวให้ดีสุดความสามารถ

อะไรคือ “เหตุผลอื่นๆ” ที่พวกเขาอ้างเล่า ผมรู้ว่าทางโรงเรียนจัดประชุมพวกผู้ปกครองระหว่างการทดสอบฝีเท้าด้วย

พ่อแม่ถูกถามคำถามเกี่ยวกับตัวผม “สตีเว่นมีอุปนิสัยอย่างไร, เรียนใช้ได้ไหม, เขาจะมาอยู่ไกลบ้านได้หรือเปล่า”

พ่อกับแม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวผมในเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น พวกท่านหนุนหลังลูกชายเต็มร้อยแน่นอนอยู่แล้ว ทางโรงเรียนลีลล์แชลอาจเห็นว่าผมคงไม่อาจรับมือกับการต้องไปอยู่ห่างบ้าน ต้องแยกจากครอบครัวที่ผมบูชา แน่นอนว่าผมเกลียดการต้องไปอยู่ที่อื่น จนทุกวันนี้ ในใจผมยังคงสงสัยมาตลอดว่าจริงๆ แล้วจะดีหรือไม่ถ้าผมได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลจริงๆ ครั้งนั้น ถึงผมจะคิดเหตุผลได้ร้อยแปดตามที่พ่อชักจูง ทั้งเรื่องพื้นเพของผมที่เป็นคนฮายตันและความคิดถึงบ้าน แต่ลึกๆ แล้วผมยังคงรู้สึกว่าเป็นเพราะผมตัวเล็กเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลีลล์แชลปฏิเสธผม

ไม่มีเหตุผลใดๆ ช่วยบรรเทาความเสียใจได้ ความโกรธของผมที่ลีลล์แชลหันหลังให้ผมอย่างเย็นชาไม่มีวันจางหาย การที่พวกเขาไม่เลือกผมถือเป็นคำดูแคลนที่เป็นส่วนตัวสุดๆ  สิ่งนี้ยังคงค้างคาในใจผมคำวิจารณ์ที่มีต่อตัวผมโดยตรง ความทรงจำของการถูกปฏิเสธไม่เคยจางหาย ผมไม่ละทิ้งฟุตบอล พ่อเป็นคนที่คอยพูดให้กำลังใจผม พ่อเป็นคนที่มีเมตตาและเข้าใจอะไรๆ ดี แม้จะได้รับคำปลอบโยนที่แสนอบอุ่นจากพ่อ แต่ความผิดหวัง, อับอาย และขมขื่นยังคงค้างคาในใจผมเสมอมา กระนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

“พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดสิลูก” พ่อเตือน

ด้วยหัวใจหนักอึ้งผมกลับไปฝึกซ้อมที่ลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์รอผมอยู่แล้ว เขาพาผมไปที่ห้องทำงานเป็นอย่างแรกจับผมนั่งเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง

“ฉันดีใจนะที่เธอไม่ได้เข้าลีลล์แชล” เขาพูด “ฉันไม่อยากหลอกเธอ”

ผมประหลาดใจสุดๆ  “คนเจ้าเล่ห์” ผมคิดในใจ

“ฉันไม่อยากให้เธอเข้าลีลล์แชลได้” สตีฟอธิบาย “ไมเคิลก็ด้วย ฉันเห็นแก่ตัวรู้ไหม ฉันอยากให้เธออยู่ที่ลิเวอร์พูล ฉันรู้ว่าเธอเสียใจแต่ไว้ใจฉันเถิดสตีเว่น ฉันรู้ว่าฉันจะสอนเธอได้ดีกว่าที่ลีลล์แชลจะทำได้”

ในตอนนั้นผมไม่เชื่อที่เขาบอก ไมเคิลกำลังเตรียมเดินทางไปสู่การผจญภัยใหม่ เขาจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชที่เก่งที่สุดในประเทศ ไมเคิลสมควรได้รับโอกาสนั้น ขอให้เขาโชคดี

“ฉันตื่นเต้นแทนนาย” ผมบอกกับไมเคิลทั้งที่ในใจเจ็บปวด เมื่อเขามาบอกลา

ผมเองก็อยากมีโอกาสเก็บของไปลีลล์แชล ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปไขว่คว้าโอกาสเช่นเดียวกับไมเคิล ผมไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เมื่อมองไปยังที่นั่งและล็อคเกอร์ของไมเคิลที่ว่างเปล่าผมลิ้มรสชาติความล้มเหลวที่ผมเกลียดชัง ผมคิดว่าถ้าสตีฟหนุนหลังผมผมก็คงเข้าเรียนที่ลีลล์แชลได้ ต้องใช้เวลานานมากกว่าผมจะเข้าใจเจตนาดีของสตีฟ
เพราะไม่ได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลทำให้การก้าวเดินขึ้นบันไดสู่ทีมชาติของผมช้าลง ในฟุตบอลระดับเยาวชนมีเรื่องของความลำเอียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เล่นของ โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ  จะได้เข้าร่วมทีมชาติชุดยู15 โดยอัตโนมัตเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก เห็นได้ชัด และไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

เรื่องนี้ทำเอาผมหัวเสีย มิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่แซงหน้าผมไปเล่นที่ลีลล์แชลก็มี เคนนี่ ลันท์และ เจมี่  เดย์ ของอาร์เซนอล และริชาร์ด เคลเลอร์ จากสคาร์โบโร่ แน่นอนพวกเขาติดทีมชาติชุด ยู15 โดยอัตโนมัติ เหมือนมีคนบอกว่านี่ไงล่ะเสื้อทีมชาติของพวกนาย เลือกเอาตามสบายได้เลย

ผมเดือดพล่านด้วยความขุ่นเคืองกับทางด่วนที่เด็กอื่นได้รับ ตัวผมเองได้แต่นั่งอยู่ที่บ้านเฝ้านึกถึงผู้เล่นมิดฟิลด์คนอื่นวิ่งกันอยู่บนพื้นสนามอันสวยงามที่ลีลล์แชล สนุกสนานไปกับการฝึกสอนประจำวันและมีคนหยิบยื่นกุญแจประตูห้องแต่งตัวทีมชาติ ยู15 ให้กับมือ มีการออกอากาศเกมของพวกเขาทางช่องสกาย ส่วนผมได้แค่จินตนาการเห็นภาพตัวเองเล่นเกมออกทีวีทั่วประเทศแบบนั้น

การได้ดูเกมเหล่านั้นทรมานผมเหลือหลาย ผมนั่งดูเกมอยู่กับพ่อเฝ้าดูมิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่อายุเท่าผมแต่ฝีเท้าไม่เท่า ผมโวยวายหน้าทีวีเมื่อได้ยินผู้บรรยายเกมยกย่องนักเตะในชุดสิงโตคำราม เหล่านั้น ผมแทบเดินหนีไปจากหน้าทีวีด้วยความโกรธเกลียด แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ฉุดผมจนลุกไปจากที่นั่นไม่ได้ ผมรักที่จะดูไมเคิลโชว์ฝีเท้าในทีวี

พวกลีลล์แชลทำผลงานได้ไม่ดีนัก ผมแอบหวัง ภาวนาทุกวันให้พวกเขานึกได้ว่าทำผิดพลาด แย่แล้ว! เราทิ้งเด็กที่ยอดเยี่ยมจากลิเวอร์พูลคนหนึ่งไป ชื่ออะไรนะเจ้าหนูนั่น? เจอราร์ดใช่ไหม ไปตามเขากลับมาดีกว่า ผมเฝ้าฝันถึงจดหมายประทับตราไปรษณีย์ชร็อพไชร์ขออภัยในการมองข้ามที่สุดแสนจะน่าเกลียดและบอกให้ผมเข้าไปร่วมแคมป์ของพวกเขาโดยด่วน ประตูดูเหมือนจะเปิดช่องให้เห็นบ้างเมื่อผู้เล่นจากอาร์เซนอลออกจากลีลล์แชลไป กลางคัน

ไมเคิลโทรมาบอกกับผม “มีการคุยกันว่าจะหาคนมาแทน”

ทำเอาผมนอนไม่หลับคืนนั้น ผมนอนอยู่บนเตียงเฝ้าคิดถึงคำพูดของไมเคิล ใจผมเก็บข้าวของไปลีลล์แชล์แล้วด้วยซ้ำไป พวกเขาจะต้องเรียกตัวผมแน่ๆ แต่ก็เปล่า ไม่มีโทรศัพท์หรือจดหมาย ความหวังเหือดแห้งลงอีกครั้ง…
เจ็ดเดือนต่อมาความโกรธแค้นของผมต่อลีลล์แชล์ได้รับโอกาสสุดวิเศษที่จะได้ระบายออก ทีมโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติจะมาที่สนามเมลวู้ดที่ซึ่งเด็กๆ ของโค้ชไฮเวย์ใช้เป็นสถานที่แข่งขันอยู่ในเวลานั้นเพื่อแข่งขันกับพวกเรา

ขอบคุณพระเจ้า!

51819938AL005_Liverpool

ผมเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี ผมมองเกมนี้เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ สารภาพตามตรง ผมใช้คืนก่อนเกมการแข่งขันทำความสะอาดรองเท้าจนเอี่ยม ดูให้แน่ใจว่าสตั๊ดดูดีเฉียบขาดเหมือนของพวกเด็กๆ ทีมชาติ

พ่อเตือนผมให้เพลาๆ ลงบ้าง “ลูกจะเสียหน้า” พ่อบอกผมอย่างนั้น “ลูกต้องเจออย่างนั้นแน่ ลูกก็รู้พวกเด็กๆ จากโรงเรียนระดับชาติเก่งกว่าลูกมาก”

ผมได้แต่ตอบส่งๆ ไป “ครับพ่อ ครับๆ ผมรู้แล้ว” แต่ในใจเร่าร้อน

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะต้องไปชกมวยในเกมวันศุกร์ ผมลืมตาตื่นตลอดคืนเหมือนกลัวว่าถ้าหลับไปผมจะอ่อนแอ ลดความเกรี้ยวกราดในหัวใจลง ในตอนเช้าผมตรงดิ่งไปยังเมลวู้ดเต็มไปด้วยคลื่นของอะดรีนาลีนและความขุ่นข้อง สตีฟยังเห็นได้ชัดถึงไฟในดวงตาผม

“ระวังหน่อยสตีเว่น” เขาเตือน “เธออาจเจ็บตัวได้”

“พวกเขาจะได้รับรู้” ผมตอบ “พวกเขาทุกคนจะต้องได้รับการตอบแทนที่สาสม ผมจะทำให้พวกลีลล์แชล พวกเขาทุกคนเลยเห็นว่าพวกเขาทำผิด”

สตีฟพยายามยกเหตุผลมาคุยกับผม แต่ไม่มีวันเสียละ ภารกิจของผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว

และเมื่อผมได้เห็นเด็กๆ จากลีลล์แชลเดินแถวผ่านตึกในเมลวู้ดอย่างสง่างามและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแบบนักเตะทีมชาติ ไฟร้อนแรงก็เผาผลาญข้างในผมเหมือนอยู่ในนรก ผมยิ่งกว่าถูกผีสิง มาถึงตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าผมยับยั้งตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปอัดพวกนั้นติดกำแพงได้อย่างไร

“มาเริ่มกันเลยดีกว่า” ผมคิด “มาเลย ! พวกนายกับเสื้อผ้าไร้ที่ติกับยิ้มอวดดีของพวกนาย ฮายตันปะทะลีลล์แชล์  เราจะได้เห็นกันว่าใครเหนือกว่าใคร”

พระเจ้า! ผมแทบทนรอไม่ไหว

ผมแล่นออกจากตึกมาที่สนาม ดีละ ผมคิด รู้ดีว่าเราอยู่ที่สนามอะไร ลิเวอร์พูลทำให้ผมภาคภูมิใจ ปกติเราจะได้เล่นในสนามของทีม B แต่วันนี้ในเกมกับลีลล์แชลเราได้เล่นในสนามทีม A พื้นสนามนั้นดีพอๆ กับที่แอนฟิลด์เลยทีเดียว ต้องมีใครสักคนที่สโมสรรู้ดีว่าเกมการแข่งขันวันนี้มีความหมายกับผมแค่ไหน ขอบคุณจริงๆ

ผมเริ่มวอร์มอัพ ผ่านขั้นตอนตามพิธีการก่อนเกมในฐานะกัปตันทีม จากนั้นผมก็เอาแต่จ้องกรรมการเขม็งเร่งให้พวกเขาเริ่มเกมโดยเร็ว
เสียงนกหวีดเริ่มเกมประทับในความรู้สึกผมไม่ต่างกับเสียงระฆังเริ่มต้นการชกมวยชิงรางวัล เสียงแตรศึก สัญญลักษณ์การเริ่มสงคราม ผมพังกองกลางลีลล์แชลจนแหลก ฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ  ไม่มีความปราณี ทุกๆ แทคเกิลผมใส่ความผิดหวังทั้งหมดที่ถูกโรงเรียนระดับชาติเมินลงไป ผมรักความคิดที่ว่าพวกโค้ชจากลีลล์แชลได้แต่ยืนอยู่ข้างสนามโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ในขณะที่ผมขย้ำนักเตะที่พวกเขาเลือก

“นี่จะทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่าพวกเขาปฏิเสธอะไรไป” ผมบอกกับตัวเองขณะส่งเด็กล้ำค่าของพวกเขาปลิวลิ่วขึ้นไปบนอากาศคนแล้วคนเล่า

“เบาๆ หน่อย” กรรมการตะโกนบอกผมตลอดเวลา

ไม่มีทาง เด็กลีลล์แชล์พวกนั้นจะต้องเผชิญกับเวลาที่ยากลำบาก ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ กรรมการจะมาเข้าใจความเจ็บปวดของผมได้อย่างไรกัน

ทีมลีลล์แชลประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นดีอย่างไมเคิล บอลล์ ,เวส บราวน์ และแน่นอนที่สุด เพื่อนผมไมเคิล โอเว่นผู้ซึ่งไม่พ้นทำแฮตทริกอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ พวกเขาชนะเรา 4-3 ประตู แต่ผมเองก็ยิงได้ประตูหนึ่งด้วย ผมเล่นได้ดีถึงขนาดว่าผู้เล่นทุกคนในฝั่งทีมชาติวิ่งมาจับมือกับผมหลังจบเกม ผมต่อสู้กับพวกเขาอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยังต้องการแสดงความนับถือ ขาวสะอาดดี ผมชื่นชมพวกเขาในเรื่องนี้

“เรื่องที่นายไม่ได้ไปลีลล์แชลนี่น่าขำสิ้นดี” ไมเคิลเอ่ยกับผมตอนเดินออกจากสนามด้วยกันหลังสงครามสิ้นสุด “นายดีเกินกว่าที่จะถูกปฏิเสธ”

พวกสตาฟฟ์ทีมชาติเดินเข้ามาหาเพื่อแสดงความยินดีกับผม แต่ผมแค่หันหลังกลับวิ่งหนีเข้าห้องแต่งตัวไปเฉยๆ ผมยังรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ไม่มีทางที่ผมจะจับมือกับบรรดาคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดหัวใจมากมายอย่างนี้หรอก พวกเขาไม่ไยดีผมตั้งแต่แรกนี่เป็นยาขมแบบเดียวกับที่พวกเขาให้ผม รับมันกลับคืนไปเถอะ

จนทุกวันนี้ผมก็ยังถือโกรธพวกเขาไม่หาย ผมไม่สามารถดึงความรู้สึกกลับคืน ผู้จัดการที่ไม่เลือกผมให้เข้าร่วมทีม ยู15 จอห์น โอเว่นส์ ปัจจุบันเป็นโค้ชอยู่ที่ ลิเวอร์พูล อะคาเดมี่   ผมชอบเดินสวนกับเขาตอนนี้ รักเลยล่ะ

เมื่อเห็นเขาเดินมาข้างหน้าผมก็จะสำรวมตัวเอง กล่าวทักทาย “สวัสดี” เมื่อเราเดินสวนกัน

โอเว่นส์คงคิดว่าผมลืมเรื่องเกี่ยวกับทีม ยู15 ไปหมดแล้ว แต่เปล่าเลย เมื่อไหร่ที่เราได้พบปะกันโอเว่นส์ดีกับผมเสมอ ผมพูดคุยกับเขาพยายามเต็มที่ที่จะทำตัวสุภาพทั้งๆ ที่ภายในเกรี้ยวกราด

ผมมักรู้สึกอยากลากเขาเข้าไปในห้องและถาม “ทำไมไม่เลือกผมตอนนั้น? คุณทำผิดมหันต์รู้ไหม บอกเหตุผลมาต่อหน้าผมเดี๋ยวนี้เลย เหตุผลทั้งหลายแหล่ที่คุณบอกมาในจดหมายปฏิเสธมันช่างไร้สาระ เป็นเพราะความสูงของผมงั้นหรือ? จริงอยู่มิดฟิลด์คนอื่นๆ ของคุณอาจจะตัวใหญ่หรือแข็งแกร่งกว่าผมบ้าง แต่ไม่มีใครเล่นดีไปกว่าผมอีกแล้ว ไม่มีสักคน”
เมื่อมาทบทวนดู ผมก็ว่าไฮเวย์พูดถูกมาตลอด ผมควรจะไปใช้เวลาสองปีที่โรงเรียนทีมชาติมากกว่าได้รับการฝึกสอนอย่างเชี่ยวชาญโดยสตีฟถึงสองฤดูกาลเต็มอย่างนั้นหรือ? สตีฟและสตาฟฟ์ของเขารักผม และผมก็รักพวกเขา วิธีการฝึกสอนของพวกเขาเหนือชั้น สตีฟและเดฟ แชนนอนสอนทุกสิ่งที่ผมรัก  การครองบอล, โยนบอล, การยิงประตู และการผ่านบอล

ในตอนท้ายของการฝึกซ้อมเราจะได้เล่นเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ถ้ามีใครทำผิดพลาดสตีฟกับเดฟจะสั่งให้วิดพื้น เราต้องก้มหน้าขึ้นลงกับพื้นสนามในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่รอบๆ ทุกครั้งที่ทำพลาดผมจะรีบวิดพื้นให้เสร็จเพื่อกลับเข้าสู่เกมให้เร็วที่สุด ผมต้องการเหลือเกินที่จะชนะ จะสร้างความประทับใจ นี่คือชีวิตของผม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง การซ้อมที่ลิเวอร์พูลคือโลกทั้งโลกของผม

เกมฟุตบอลที่อะคาเดมี่ มีมาตรฐานคุณภาพต่างจากเกมฟุตบอลของผมเล่นกับเพื่อนนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน หรือพวกแก๊งไอร์ออนไซด์ของผมมากมายนัก เพื่อนร่วมทีมที่ลิเวอร์พูลมีฝีเท้าในระดับเดียวกันกับผม พวกเขาเข้าใจการผ่านบอลของผม ถ้าเพื่อนที่คาร์ดินัล ฮีแนนวิ่งผิดทางหรือคอนโทรลบอลไม่ได้ก็จะทำให้ผมหงุดหงิดเป็นการใหญ่

“พวกเพื่อนอาจไม่เก่งเท่าเธอแต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนเธอนะ” คุณครูที่คาร์ดินัล ฮีแนนบอก “เธอต้องยอมรับพวกเขา”

แต่ที่ลิเวอร์พูลทุกๆ คนอยู่ในระดับเดียวกันกับผมทั้งหมด
การปฏิเสธของลีลล์แชลยิ่งทำให้ผมรักลิเวอร์พูลลึกซึ้งกว่าเดิม การที่ลิเวอร์พูลต้องการผมทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้พวกเขาเต็มที่และพิสูจน์ให้โรงเรียนทีมชาติเห็นว่าพวกเขาคิดผิด ในระยะยาวการไม่ได้เข้าเรียนกับโรงเรียนทีมชาติทำให้ผมพอใจในที่สุด ในความเห็นของผมพวกโค้ชทีมชาติคงไม่สามารถพัฒนาผมได้ดีเท่ากับที่สตีฟ ไฮเวย์ทำ สตีฟมักจะมาเยี่ยมบ้านผมที่ไอร์ออนไซด์อยู่เป็นประจำ มาดูว่าเราเป็นยังไงหรือไม่ก็โทรมา สตีฟเชิญพ่อกับแม่ผมไปพบปะกันที่สถาบันเสมอเพื่อคอยดูให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สตีฟเอาใจใส่ผมเสมอ

“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง” เขาสอบถามผมเสมอเมื่อมีโอกาส “เดือดร้อนเรื่องเงินไหม “ 

เขารู้ดีว่าเราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ ถึงกับยื่นมือมาช่วยเป็นครั้งคราว สตีฟชอบที่จะสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวของนักเรียนของเขา ชอบช่วยเหลือคน เขาเป็นคนที่สุดยอด ดีเลิศ ชัดเจนว่าความใส่ใจของลิเวอร์พูลทำให้ผมมีความสุข แต่ความผูกพันที่พวกเขามีให้ผมไม่ใช่แค่ในแง่ความเป็นมืออาชีพ แต่พวกเขาใส่ใจจริงๆ

ผมไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อที่วิ่งได้ในสนาม หรือการลงทุนเพื่ออนาคต สำหรับสตีฟและลิเวอร์พูล ผมมีเลือดมีเนื้อ มีความหวาดกลัวและความฝัน สตีฟดูแลผมเหมือนลูก ผมไม่เคยลืมว่าสตีฟ ไฮเวย์มีส่วนอย่างมากในการปลูกฝังให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมากพอๆ  กับทำหน้าที่สร้างผมให้เป็นนักฟุตบอลที่ดี ช่างหัวลีลล์แชลปะไร ผมมีลิเวอร์พูลอยู่แล้ว

สตีฟไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีสโมสรต่างๆ ยังคงติดตามผมเสมอมา มีแต่พวกซื่อบื้อที่ลีลล์แชลเท่านั้นที่ไม่รู้ ผมได้รับการยอมรับจากทุกๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งจดหมายมาหาผมเป็นประจำ จดหมายดีๆ น่าอ่านกว่าจดหมายจากลีลล์แชลเยอะแยะ บุรุษไปรษณีย์ยังคงแวะเวียนมาส่งจดหมายจาก คริสตัล พาเลซ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอฟเวอร์ตัน และสเปอร์ส

วันหนึ่งพ่อของผมไปพบสตีฟ “ดูสิ สตีเว่นได้รับข้อเสนอพวกนี้มาตลอด” พ่อบอกกับเขา “เราจะลองพิจารณาทางเลือกสำหรับอนาคตของเขากันหน่อยดีไหม “

สตีฟเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน อาจกำลังคิดหนัก

“ถ้าสตีเว่นอยากไปลองดูด้วยตัวเองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และที่อื่นๆ มีอะไรมาเสนอให้บ้าง ก็น่าจะให้เขาลองไปสัมผัสดู” สตีฟกล่าว

“ถ้าเขาอยากลองไปดูว่าทีมอย่างสเปอร์หรือซิตี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกยังไงในสนามซ้อมก็ไม่มีปัญหา เราคงไม่คิดเป็นอื่นกับเขา เราจะไม่ผิดหวังกับสตีเว่นหรอก”
ผมก็เลยไป เอฟเวอร์ตันเปิดโอกาสให้ผมไปดูจนทั่วสโมสร พยายามทำให้ผมประทับใจ ผมเล่นทดสอบฝีเท้าให้ทีมของพวกเขาในเกมกับทรานเมียร์ โรเวอร์ส จากนั้นผมก็ไปสวมชุดสีน้ำเงิน-เลือดหมูของเวสต์ แฮม เมื่อเราเอาชนะทีทเคมบริดจ์ ยูไนเต็ดไป 6-2 ประตู ตอนที่ผมอายุสิบสี่ เสื้อแดงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เคยอยู่บนตัวผมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผมเล่นเกมให้พวกเขา 2 เกม เพื่อทดสอบฝีเท้า หลังจากทำได้ดีในทั้งสองเกมยูไนเต็ดก็เสนอสัญญาอาชีพ 3 ปีให้กับผม

ผมยังเคยมีโอกาสได้พบกับผู้จัดการทีมที่เป็นตำนานของพวกเขา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเด็กๆ ที่ไปทดสอบฝีเท้ามีโอกาสได้ไปร่วมทานอาหารค่ำกับมิสเตอร์เฟอร์กูสัน ไมเคิล โอเว่นเองก็อยากไปด้วยในวันนั้นแต่สุดท้ายเขาก็ไม่โผล่ไป ไมเคิล บอลล์ก็ไปด้วย

พวกเรานั่งที่โต๊ะเดียวกันอ้าปากค้างฟังคำพูดของผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ มร.เฟอร์กูสันเป็นคนเหนือชั้น ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนสำคัญในก้าวกลับมาทางความยิ่งใหญ่ของยูไนเต็ด มร.เฟอร์กูสันรู้จักชื่อเสียงของผมดีและเขาต้องการได้สัญญาจากผม เขาเล่าให้พวกเราฟังว่าเราจะไปได้ดีอย่างไรที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขามีภารกิจที่จะหนุนหลังนักเตะเด็กๆ รุ่นใหม่อย่างไรบ้าง ในช่วงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของไรอัน กิ๊กส์ และเดวิด เบคแฮม

ผมนั่งอยู่ที่นั่น เพลิดเพลินกับอาหารค่ำและรับฟังสิ่งดีๆ จาก มร.เฟอร์กูสัน แต่ผมไม่คิดจะเซ็นสัญญากับยูไนเต็ด ไม่มีวัน ผมเที่ยวไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ก็เพียงเพื่อกดดันลิเวอร์พูลให้เสนอสัญญา YTS     แก่ผม ( YTS – สัญญาฝึกงานซึ่งหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ จะเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ารับการฝึกงานและรับค่าตอบแทน)
เมื่อผมกลับไปที่ลิเวอร์พูลหลังจากไปแข่งขันทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ผมก็ไปพบสตีฟ ไฮเวย์ “ผมสนุกมากที่ได้ไปเล่นกับทีมเหล่านั้น” ผมบอกเขายิ้มๆ ในไม่ช้าผมก็ได้รับสัญญา YTS   จากลิเวอร์พูล ในตอนจบฤดูกาล ยู16  

นักเรียนคนอื่นๆ ต้องเข้าไปที่ห้องในเมลวู้ดทีละคนเพื่อฟังว่าแต่ละคนจะได้เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลหรือไม่ แต่ผมไม่ต้องรอผล ผมรู้ก่อนแล้ว ผมไม่อาจอวดเอากับใครได้ว่าผมได้รับสัญญาในแบบฟอร์มขาว-ดำจากสตีฟเรียบร้อยแล้ว แต่มันเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน กับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 50 ปอนด์ ไมเคิล โอเว่นก็ได้รับสัญญาจากสตีฟด้วยเหมือนกัน

สตีฟดูแลพวกเราเสมอ บางครั้งก็หาตั๋วฝั่งเดอะ ค็อป มาให้ผม พอล และเพื่อนๆ ของเรา เขาพาผมไปเวมบลีย์ถึง 3 ครั้ง เพื่อดูเกมชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ และโคคาโคลา คัพ เราจับรถไฟเดินทางล่องใต้ ไปด้วยกันทั้งสตีฟ, ฮิวอี้ และเดฟ ภรรยาของพวกเขาดูแลผมเหมือนลูก

เราได้ไปดูเกมเอฟเอ คัพ ปี 1992 ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไป 2-0 ประตู และการเล่นอันยอดเยี่ยมของสตีฟ แมคมานามาน ต่อสู้กับโบลตัน วันเดอร์เรอส์ในการชิงถ้วยโคคาโคลา คัพ สามปีถัดจากนั้น ไมเคิล โอเว่นนั้นนับเป็นนักเตะเยาวชนที่มีค่าที่สุดของลิเวอร์พูล ดังนั้นผมจึงคิดเอาว่าผมคงจะสำคัญเป็นอันดับรองลงมาเพราะผมได้รับรางวัลด้วยการพาไปดูเกมสำคัญๆ ที่เวมบลีย์

สตีฟดีกับผมเสมอ ผมไม่เคยลืมวันที่ได้รับโทรศัพท์จากเขาเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ผมกำลังจะออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไปโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนตอนที่โทรศัพท์ดัง

สตีฟพูดเข้าประเด็นทันที “สตีเว่น เราจะเล่นเกมชองชนะเลิศเอฟเอ ยูธ คัพ  กับทีมเวสต์ แฮมในอีกสองวัน แต่ในทีมมีนักเตะบางคนบาดเจ็บ เราอยากได้เธอสำรองเอาไว้ พยายามเตรียมตัวให้พร้อมนะ”

ผมตื่นเต้นจัด ตัวแทบลอยขึ้นเหนือก้อนเมฆตลอดทางไปโรงเรียน การบาดเจ็บและเจ็บป่วยระบาดในทีมเยาวชน แต่ผมไม่เคยคิดฝันว่าพวกเขาจะเหลียวมองผม ผมไม่มีชื่อในทีมในที่สุด น่าเสียดาย ลิเวอร์พูลมีนักเตะเด็กเก่งๆ หลายคน ไม่ว่าจะเป็นเดวิด ธอมป์สัน, เจมี่ คาราเกอร์ และแน่นอนเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากโอเว่น ดาวจรัสแสงตัวจริงเสียงจริง พวกเขามีชัยในเกมชิงชนะเลิศเหนือทีมของนักเตะอย่างริโอ เฟอร์ดินาน และแฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ไม่ยาก แต่ผมซาบซึ้งกับการที่สตีฟนึกถึงผม
สตีฟยังช่วยจัดการให้ผมได้ฝึกงานที่ลิเวอร์พูล ผมนั่งอยู่ในห้องเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนนฟังพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนคุยกันถึงหน่วยงานหรือสถานประกอบการที่พวกเขาเลือกไปฝึกงาน จัดวางสินค้าตามห้างอย่างแอสด้า หรือ ควิกเซฟ ไม่เหมาะกับผม จากที่เราได้ยินได้ฟังมามีคนบอกว่านักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน รุ่นก่อนๆ บางคนได้ไปฝึกงานที่เมลวู้ด ทำให้ผมคิดได้ ผมจะไม่ยอมไปฝึกงานตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเด็ดขาดถ้ามีโอกาสไปทำที่เมลวู้ดรออยู่ตรงหน้า

ผมจึงบุกไปที่ออฟฟิศของสตีฟ “ผมยอมถูพื้นทุกห้อง ขัดรองเท้าทุกคู่ ถ้าผมได้มาฝึกงานสองอาทิตย์ที่เมลวู้ด” ผมบอกสตีฟ

เขาก็เลยจัดแจงติดต่อที่โรงเรียนให้ ดังนั้น ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นของผมไปฝึกงานกับพ่อๆ ทำงานก่ออิฐ, งานใช้แรงงาน หรือช่วยงานตามร้านค้า ผมก็ได้มีโอกาสไปอยู่ร่วมกับนักเตะทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลนานถึงสองสัปดาห์ ผมแทบไม่เชื่อโชคของตัวเองเพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน ใครๆ ที่คาร์ดินัล ฮีแนน ก็อิจฉาผมกันทั้งนั้น

นักเรียนอื่นๆ ที่เคยมาฝึกงานที่เมลวู้ดได้ฝึกงานแค่กับทีมสำรอง แต่เมื่อผมเข้าไปรายงานตัวผมได้รับแจ้งว่าผมจะได้ฝึกงานกับนักเตะที่เป็นตำนานอย่างจอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ ฮีโร่ของผม ผมสาบานได้เลยว่าทั้งสองเป็นคนดีเอามากๆ

นับเป็นสิทธิพิเศษในชีวิตผมที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา ได้ยืนอยู่ที่เส้นขอบสนามเมลวูด อ้าปากค้างดูพวกเขาฝึกซ้อมโชว์ฝีเท้าระดับเทพดูเหมือนจะเป็นขอบเขตใกล้ที่สุดที่ผมจะเข้าใกล้ได้ หน้าที่ในการฝึกงานจะมีแค่ทำความสะอาดพื้น, ล้างและขัดรองเท้า, เติมลมลูกบอล, เรียงกรวยในสนามซ้อม และคอยเก็บลูกฟุตบอล

แต่รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในสมัยนั้นเรียกผมไปร่วมเล่นเกมฟุตบอล 5 คนด้วย ผมอายุแค่สิบหกแต่ได้ผ่านบอลให้จอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็เอาแต่ส่งบอลให้ผม ช่วยให้ผมเล่นได้ดีขึ้นๆ พวกเขาทำให้ผมดูเหมือนดิเอโก้ มาราโดน่า
ช่วงเวลาสองสัปดาห์นี้เติมความรักหลงใหลในเกมฟุตบอลและความปรารถนาที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพกับลิเวอร์พูลให้ผมจมลึกลงไปทุกทีๆ ผมไม่เคยได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวร่วมกับพวกทีมชุดใหญ่ แต่ได้ใช้ห้องเดียวกับนักเตะวัยรุ่นอย่างเจมี่ คาราเกอร์, เจมี่ แคสซิดี้, เดวิด ธอมป์สัน และแกเร็ธ โรเบิร์ตส

เรื่องโจ๊กในห้องแต่งตัวของพวกเขานั้นสุดยอด,  ขำกลิ้ง และสุดแสบ พระเจ้า! ผมอิจฉาพวกเขาจัง คาร่ากับพวกได้อยู่ที่เมลวู้ดทุกวัน มีช่วงเวลาแห่งชีวิตที่นั่น และผมต้องมุ่งหน้ากลับห้องเรียนน่าเบื่อหน่ายหลังฝึกงานครบสองสัปดาห์ ผมหดหู่ แต่ก็ไม่ต้องทนนาน ผมได้สัญญา  YTS   มาแล้ว ในภาคเรียนสุดท้ายผมเข้าเรียน ทำการบ้าน และเข้าสอบ แต่ไม่ได้ตั้งใจอะไร ผมรู้ว่าอีกสองเดือนข้างหน้าเส้นทางของผมก็จะเดินทางไปถึงลิเวอร์พูล

วันสุดท้ายของผมที่คาร์ดินัล ฮีแนนผมต้องไปนั่งสอบซ่อมอยู่สองชั่วโมง ผมนั่งในห้องสอบคิดหนักกับปัญหาข้อหนึ่ง : ผมจะกำจัดชุดนักเรียนของผมให้สิ้นซากยังไงดี นาฬิกาฟ้องว่ายังเหลือเวลาเกือบชั่วโมงตอนที่ผมวิ่งแจ้นออกมา ผมไม่เคยวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทางเร็วเท่านี้มาก่อน ผมปรารถนาเหลือเกินที่จะกลับไอร์ออนไซด์ไปใส่ชุดธรรมดา โยนชุดนักเรียนทิ้งไปให้เร็วที่สุด ได้พักหกสัปดาห์แล้วก็เข้าสู่ชีวิตฟุตบอลเต็มเวลา

“การสอบเป็นยังไงบ้าง?” แม่ถามเมื่อผมถึงบ้าน

“ดีครับแม่” ผมตอบ ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าทำข้อสอบไม่ได้เรื่อง ผมส่งชุดนักเรียนให้แม่ “ได้โปรดช่วยทิ้งนี่ลงถังขยะให้ผมด้วย”

มีเครื่องแบบอื่นรอผมอยู่นับจากนี้ : เครื่องแบบลิเวอร์พูล
**** จบบทที่ 3 ****

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2 ( บทที่2)

Posted in Uncategorized on November 1, 2008 by bertbert

บทที่ 2
เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผมไม่เคยหนีโรงเรียนเลยสักครั้ง พ่อไม่ยอมให้ทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าโดดเรียน,แอบสูบบุหรี่ หรือทำพฤติกรรมเหลวแหลกทั้งหลายแหล่ ผลที่จะได้รับตามมานั้นเกินจะจินตนาการ พ่ออาจบิดหูหรือฟาดเอาบ้างแต่ไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักหนาเป็นการลงโทษ พ่อไม่เคยตีผมจริงๆ แต่จะแสดงความผิดหวังด้วยวิธีที่แตกต่างไป บางครั้งเมื่อทำผิดพ่อจะมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมหัวใจสลาย

สิ่งที่หยุดยั้งผมเอาไว้จากการทำตัวเกเรเหมือนวัยรุ่นทั่วไปก็คือความกลัวว่าความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างเราจะถูกทำลายไป พ่อไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือขึ้นเสียงเพื่อสั่งสอนผมกับพอลให้รู้จักผิดชอบ พ่อไม่ยอมให้ลูกของท่านไม่เคารพผู้อื่น หรือทำสิ่งผิด พ่อไม่ต้องการให้มีตำรวจมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้าน อาจมีเพื่อนบ้านมาบ่นเรื่องผมกับพอลไปขว้างก้อนหินใส่หน้าต่างบ้านเพื่อนบ้านบ้าง แต่เราไม่เคยทำความผิดร้ายแรงจนตำรวจต้องมาตามตัวที่บ้าน ไม่เคยเลย

ผมเคยทำผิดร้ายแรงครั้งหนึ่ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ผมขโมยของและถูกจับได้!!!

ตอนนั้นผมกับเพื่อนคนหนึ่งไปเตร็ดเตร่แถวๆ ในเมืองลิเวอร์พูล แบบเดียวกับที่เด็กสิบเอ็ดขวบส่วนใหญ่ทำกัน ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่ร้านวูลลี่ส์ เรามีเงินติดตัว 5 ควิด เป็นค่ารถและพอสำหรับไปแวะทานเบอร์เกอร์ที่ร้านบนถนนไลม์ระหว่างทางกลับบ้านได้ ปัญหาก็คือผมต้องใช้เครื่องเขียนสำหรับทำการบ้าน แค่กระดาษกราฟกับปากกา อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้

แผนของเราก็คือเลือกวูลลี่ย์เป็นเป้าหมายสำหรับลงมือ เราเข้าไปในร้านเดินผ่านช่องทางเดินไปๆ มาๆ แล้วก็แอบหยิบปากกาหย่อนใส่กระเป๋าและเอากระดาษซ่อนในเสื้อโค้ท อย่างมั่นใจ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูทางออก แผนดูจะได้ผล เยี่ยมไปเลย ผมรู้สึกถึงเงินในกระเป๋าสำหรับซื้อเบอร์เกอร์และโค้ก ใจเย็นๆ ไว้ แค่ก้าวพ้นประตูร้าน ออกไปที่ทางเท้าแล้วเลี้ยวขวา แค่นั้นก็เรียบร้อย

เสียงตะโกนหยุดเราเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน”

เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาททำเอาเลือดในตัวเย็นเฉียบ

“หยุดตรงนั้นละ”

ตายแน่! รปภ.ของวูลลี่ส์ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ผมขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยความหวาดกลัวจับใจ รปภ.คว้าคอเสื้อเราสองคนเอาไว้ บ้าจริง วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม

“จบกัน”

ผมคิดในใจ ความคิดและจิตใจผมปั่นป่วนไปหมด

“เราทำพังหมดแล้ว เรื่องลิเวอร์พูลคงจบสิ้นกัน สโมสรจะถีบหัวเราส่ง พ่อคงทิ้งเราแน่ ไม่น่าเลย”
รปภ. ลากตัวเราสองคนกลับเข้าไปในออฟฟิศ ค้นเอาเครื่องเขียนออกมาจากตัว จากนั้นก็เริ่มเขย่าขวัญเราอย่างที่สุด

“เรียนโรงเรียนอะไรกัน? “ เขาตวาด “บ้านอยู่ที่ไหน? บอกเบอร์โทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้เลย”

หัวสมองหมุนเร็วจี๋คิดหาทางออก [i]“ผมไม่มีเบอร์โทรที่บ้าน” ผมโกหก

รปภ.โกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ “งั้นบอกที่อยู่ที่บ้านมาไอ้หนู”

ผมไม่กล้าบอกที่อยู่ที่บ้านหรอก พ่อจะต้องประสาทเสียแน่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหู คิดสิๆๆ รปภ.ถามซ้ำอีกผมจึงตัดสินใจบอกที่อยู่บ้านป้าคนหนึ่ง เขาจดที่อยู่เอาไว้ สั่งสอนเราอีกแล้วก็ไล่เราออกมาจากร้าน

ในหัวผมสับสนไปหมดขณะวิ่งไปที่ถนนไลม์ ที่ร้านต้องโทรศัพท์ไปแจ้งโรงเรียนแล้วเรื่องก็จะต้องถึงพ่อจนได้ แล้วผมก็คงจบสิ้นกัน ถูกกักบริเวณ ไม่ได้เล่นฟุตบอลไปอีกตลอดชีวิต บ้าฉิบ… 

เมื่อผมลงรถไฟที่ฮายตันผมไม่กล้าเข้าบ้าน “พ่อต้องฆ่าเราทิ้งแน่ๆ” ผมคิดอยู่คนเดียว ไม่กล้ากลับบ้านจึงวิ่งเลยไปบ้านป้าลินน์ ป้าเปิดประตูรับผมบอกให้นั่งลงใจเย็นๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป้าฟัง

“ป้าไปหาพ่อหน่อยได้ไหมครับ” ผมขอร้องป้า

“นะครับ ไปดูให้หน่อยว่าพ่อไม่เป็นไร”

ป้าลินน์ไปที่บ้านของผมพยายามเล่าให้พ่อฟังว่าผมกลัวแค่ไหน แต่ช้าไป พ่อรู้เรื่องผมจิ๊กของแล้ว ข่าวร้ายแพร่กระจายเร็วเสมอ ทางร้านวูลลี่ส์โทรไปที่โรงเรียน แล้วทางโรงเรียนก็โทรมาบอกพ่อทันที พ่อเดือดสุดๆ ตอนมาลากตัวผมกลับบ้าน แทบฉีกผมเป็นชิ้นๆ พ่อมองตาผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมแทบขาดใจตาย

“ทำไมทำแบบนี้” พ่อตวาดผม

“ทำไมต้องขโมย ทำไมไม่จ่ายเงินซื้อ ไม่มีเงินทำไมไม่ขอพ่อกับแม่ ทำไม? ทำไม? ครอบครัวของเรารับไม่ได้กับการขโมยหรอกนะ แล้วแกก็จะถูกลงโทษที่โรงเรียนด้วย พวกเขาต้องอยากรู้แน่ว่าแกขโมยของทำไม”

ระหว่างนั่งรถไฟกลับจากบ้านป้า จังหวะหนึ่งผมคิดว่าพ่อน่าจะเย็นลงแล้ว

“พ่อครับ” ผมเปิดปากพยายามอธิบาย “ถ้าโรงเรียนถามเหตุผลผมก็จะบอกไปว่าผมต้องใช้เครื่องเขียนเพื่อทำการบ้าน ผมทำเพื่อเรื่องที่โรงเรียน มันไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรเลย แค่กระดาษกราฟ”

พ่อมองหน้าผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะปฏิเสธ “เป็นฉันจะไม่อ้างแบบนั้น”

จบกัน ข้อแก้ตัวไม่มีน้ำหนักเลย ผมรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยให้ผมรอดจากการไปอยู่บ้านสุนัขแน่แล้ว

แล้วพ่อก็จู่โจมผมด้วยความคิดที่ร้ายกาจอีกเรื่อง

“ถ้าลิเวอร์พูลรู้เรื่องนี้เข้าแกคงตกที่นั่งลำบากแล้วสตีเว่น” พ่อบอก

“แกคิดว่า สตีฟ ไฮเวย์จะคิดยังไงกับแก แกคงต้องสูญเสียโอกาสที่ลิเวอร์พูล พวกเขาจะเตะโด่งแกออกมาแทบไม่ทัน”
คำพูดเหล่านั้นกระแทกจิตใจผมเหมือนระเบิด ผมรู้สึกต่ำต้อย ผมรักพ่อ เสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง ผมรักลิเวอร์พูล กลัวแทบตายเมื่อคิดว่าพวกเขาคงจะไม่ปราณีผม ฟุตบอลคือสิ่งเดียวที่ผมเฝ้าฝันถึง ทำไมผมต้องขโมยของด้วย? ,พระเยซูเจ้า, ไม่น่าเลยผมโง่จริงๆ ที่ทำแบบนั้น ผมมีเงินและถึงไม่มีผมก็ไม่ควรทำแบบนั้น

พ่อกับแม่พร่ำบอกผมกับพอลเสมอว่า “อย่าคิดลักขโมยเด็ดขาด ถ้าลูกต้องการอะไรไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนพ่อกับแม่จะหาให้”

ผมช่างโง่เง่าจริงๆ ผมไปขโมยของ และตอนนี้ผมก็ต้องตกนรกหมกไหม้จากการกระทำของผมเอง

เมื่อพ่อพาผมกลับมาบ้าน แม่มารอที่หน้าประตูอยู่แล้ว แม่ยอมให้พ่อดุด่าผมเพราะความผิดนี้มันร้ายแรง แต่แม่ก็ คอยดูว่าพ่อจะไม่ฟาดผมด้วยเข็มขัด ผมกับพอลเป็นลูกรักของแม่มาตลอด แม่คอยปกป้องเราเสมอ

ผมเองมักจะเถียงแม่เป็นประจำ “แม่พอทีเถอะ”  ผมเคยย้อนเวลาที่แม่จะบ่นหรือสอนอะไร ซึ่งแม่ก็จะแค่แอบยิ้มแล้วก็ยอมทุกครั้ง ความรักที่แม่มีต่อผมกับพอลถึงขนาดว่าต่อให้เราฆ่าคนตายแม่ก็จะอภัยให้ แม่ใจอ่อนกว่าพ่อ แม่รู้ว่าพ่อโกรธมากกับเรื่องที่เกิดที่วูลลี่ส์ก็เลยต้องคอยจับตาดูให้แน่ใจว่าพ่อจะไม่ตีผม

เด็กหลายคนที่ถูกจับได้ว่าขโมยหรือแอบสูบบุหรี่อาจโดนพ่อของตัวเฆี่ยนด้วยแส้หนัง แม้แต่เพื่อนอีกคนที่ก่อเรื่องด้วยกันกับผมก็โดนลงไม้ลงมือไม่น้อยที่บ้าน ส่วนผมพ่อแค่สั่งกักบริเวณแค่ 3 คืน แต่ก็มากพอจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกขังนานถึงหกเดือน

ผมไม่ได้รับความเห็นใจจากพอลแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพี่ชายของผมหัวเราะเยาะผมอย่างหนัก ตอนผมโดนกักบริเวณในห้องพอลมาเคาะประตูและกระซิบผ่านบานประตูมา

“รู้ไหมสตีวี่ ฉันจะไปในเมืองล่ะ ต้องสนุกแน่ๆ ไปด้วยกันไหม”

ขอบคุณจริงๆ พอลยังทำร้ายจิตใจผมต่อไม่เลิก

“คอมพิวเตอร์ตั้งรออยู่ชั้นล่างแน่ะ” เสียงพอลลอดผ่านประตูมาอีก “นายอยากเล่นเกมใช่ไหมล่ะ ? ”

พอลรู้ดีว่าผมออกมาจากห้องไม่ได้ เขาแค่ยั่วผมแต่ก็ทำเอาผมหัวใจแทบสลาย ผมได้ยินพอลวิ่งไปเล่นนอกบ้านและชวนพวกเด็กอื่นเล่นฟุตบอล เขาร้องเรียกเด็กอื่นๆ ทั่วไอร์ออนไซด์ด้วยเสียงดังฟังชัด

“ใครอยากเล่นบอลกันบ้าง มาเร็ว”

นี่เป็นการทรมานอย่างแท้จริง ผมได้ยินเสียงเกมฟุตบอลที่พวกเขาเล่นกัน แทบหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ เล่นกันสนุกสนาน, พูดอำกัน แม้แต่ฉลองประตู ผมหนีไปไหนไม่ได้ ห้องของผมอยู่หน้าบ้าน เพื่อนๆ มาตะโกนเรียกผมที่หน้าต่าง

“สตีวี่,สตีวี่ เกมวันนี้เจ๋งมากเลย น่าเสียดายจริงๆ ที่นายมาเล่นด้วยไม่ได้ ไม่งั้นนายต้องชอบแน่” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันโหดร้าย

เพื่อนๆ ผม,พี่ชายสุดโหด ทุกคนรู้หมดว่าผมต้องได้ยินแน่ๆ พวกเขารู้ว่าผมต้องแทบขาดใจตาย เมื่อพวกเขาเลิกตะโกนเรียกผมก็แอบดูพวกเขาเล่นบอลที่หน้าต่างด้วยความอิจฉา ผมทำผิดเองสมควรแล้วที่ถูกลงโทษขังเดี่ยวแบบนี้
ปกติแล้วผมทำตัวดีเสมอถ้าเทียบกับเด็กอื่นๆ ที่ผมคบด้วย เพื่อนผมหลายคนขโมยของในร้าน,จากปั๊มน้ำมัน แอบจิ๊กขนมหรือเครื่องดื่ม เมื่อผมอยู่ด้วยกับเพื่อนๆ ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเวลาพักผมเคยเห็นเพื่อนควักเอาบุหรี่ออกมาสูบ จุดไฟเที่ยวพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคนอื่น พวกเขาไม่สนใจหรอก บางคนไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต

อย่างไรก็ดีผมสนุกและชอบเวลาที่ได้อยู่กับพวกเพื่อนๆ แต่ผมก็ต้องคอยประคองตัวไม่ให้เดินผิดทางเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ แม้จะมีสิ่งยั่วยวนมากมายล้วนแล้วแต่ร้ายกาจ แต่ผมโชคดีที่พ่อคอยสอนให้ผมเลือกทางที่ถูกถ้าไม่มีคำสั่งสอนจากพ่อ ผมคงไม่ได้มาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

พ่อเป็นเจ้านายใหญ่ในบ้านเราเสมอ คำพูดของพ่อคือกฎ แต่พ่อไม่เคยทำเหมือนเป็นเผด็จการ ผมกับพอลไม่ต้องกลัวพ่อแม่หัวหด บางครั้งเราก็เหมือนเด็กถูกตามใจจนเหลิง เรียกร้องอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ พวกพ่อแม่พยายามให้เราตามที่จะให้ได้  แต่ผมกับพอลกลับเคารพเชื่อฟังพ่อกับแม่อย่างแทบไม่น่าเชื่อ ครอบครัวของเราใกล้ชิดกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราทานอาหารเช้า,มีเวลาน้ำชาด้วยกัน นั่งคุยกันทุกคืนตอนดูทีวีแล้วก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย บรรยากาศในบ้านยอดเยี่ยมเสมอ

พอลกับผมคงไม่อาจขอพ่อแม่ที่รักและเอาใจใส่มากกว่านี้ได้ แม่เป็นแม่บ้านที่ภาคภูมิใจ ความหิวโหยไม่เคยมาเยือนบ้านหลังนี้ ครอบครัวเจอราร์ดมีอาหารเพียงพอเสมอ ตู้ในครัวไม่เคยขาดเสบียง ถ้ามีบางครั้งที่ผมกับพอลไม่ได้บางสิ่งที่ต้องการหรือเงินขาดมือบ้าง

แม่ก็จะบอกว่า “นั่นเป็นเพราะตู้ของเราต้องไม่ว่างเปล่าจ๊ะ เรื่องนี้สำคัญที่สุด ตู้เสบียงต้องเต็มเสมอ”

ผมกับพี่ชายไม่เคยถูกห้ามทานบิสกิตหรือขนม “แต่ลูกๆ จะเข้าใกล้ตู้ขนมไม่ได้จนกว่าจะทานอาหารให้หมดเสียก่อน” นี่คือประกาศิตจากแม่

เราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอมเป็นได้แค่ฝัน ทุกๆ ปีเราจะได้ไปเที่ยวกันที่สถานตากอากาศบัตลินในเมือง Skegness  หรือ ฮอลิเดย์ ปาร์คใน Devon  เท่านั้น ลุงกับป้าของผมมักพาพวกลูกๆ มาเที่ยวกับเราด้วย รวมทั้งปู่และย่า ไปกันทั้งครอบครัว ช่างเป็นการผจญภัยแสนสนุก ผมมักฝันเฟื่องเรื่องไปเที่ยวประจำปีก่อนหน้าวันจริงนานหลายเดือน แม่วางแผนไว้เป็นอย่างๆ คอยสะสมเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้เพื่อไปเที่ยว

แม่รู้ดีว่าการได้ไปเที่ยวพักร้อนมีความหมายกับครอบครัวเราแค่ไหนโดยเฉพาะสำหรับผมและพอล บางปีถ้าผมกับพอลโชคดีแม่จะอนุญาตให้พาเพื่อนไปด้วย ผมยกให้พอลเป็นคนเลือกเพื่อนผู้โชคดี ส่วนผมก็ลิงโลดที่จะได้ไปเที่ยวและเล่นบอลกับเด็กโตกว่า เราสนุกกันมาก

“ต้องไปโรงเรียนฟุตบอลด้วย” พ่อเตือนระหว่างขับรถไปหาดลินคอล์นไชร์

อย่างผมไม่ต้องรอให้บอกหรอก แม้แต่ตอนที่เราวิ่งเล่นบนชายหาด, เอาไม้หวดลูกบอลไปรอบๆ อย่างสนุกสนาน หรือเล่นสไลเดอร์ที่สวนน้ำ ในใจผมก็คิดถึงแต่เรื่องโรงเรียนฟุตบอล

“ได้เวลาหรือยังครับ?” ผมถามพ่อ “มาเถอะ ตอนนี้เหมาะแล้วล่ะ”

ผมเซ้าซี้พ่อแบบนี้เสมอ ที่ Skegness นั้นแสนจะสะดวกสบาย ตกกลางคืนเราไปเที่ยวคลับท้องถิ่นที่มีนักร้อง, วงดนตรีมาเล่นหรือมีคาราโอเกะ เราสนุกกันมาก แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมมักจะตื่นแต่เช้า เรียกร้อง “เมื่อไหร่ผมจะได้ไปโรงเรียนฟุตบอลเสียที” ที่ Skegness เป็นสวรรค์สำหรับผมเสมอ

ผม,พอลและพ่อคุยกันเรื่องฟุตบอลตลอดเวลา พ่อผมบ้าลิเวอร์พูล พ่อมักจะซื้อวีดิโอลิเวอร์พูลมาให้ผมและเราก็นั่งดูด้วยกัน ชื่นชมความกร้าวแกร่งของแกรม ซูเนสส์, ความเยือกเย็นของอลัน แฮนเซ่น และความเหนือชั้นของเคนนี่ ดัลกลิช วันหนึ่งพ่อกลับมาบ้านพร้อมรูปภาพขนาดใหญ่ของดัลกลิช พ่อเอารูปมาให้ผมที่ห้องนอนชั้นบนบ้าน

“เคนนี่ ดัลกลิชเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลิเวอร์พูล” พ่อบอก “เขายิ่งใหญ่ ลูกติดรูปเขาไว้บนผนังสิ”

โปสเตอร์ของดัลกลิชรูปนั้นติดอยู่ที่ผนังห้องผมอยู่นานหลายปี เป็นเหมือนแท่นบูชา ผมโชคดีพอที่มีโอกาสได้เห็นคิงเคนนี่เล่นที่แอนฟิลด์เมื่อผมยังเด็กมาก ตอนประมาณ 6-7 ขวบได้ ผมเองมีเสื้อของเคนนี่เก็บไว้ที่ห้องโชว์ของสะสมของผมที่บ้านหลังปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นผมรักที่จะยืนอยู่ที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป ถูกร่ายมนต์สะกดโดยเคนนี่, เอียน รัช, จอห์น บาร์นส และ สตีฟ แมคมาน นักเตะชั้นยอดทั้งนั้น

ผมได้เห็นช่วงเวลาแห่งแชมเปี้ยนหลายครั้ง และในปี 1989 ผมยืนอยู่ที่เดอะ ค็อป สแตน หัวใจสลายเมื่อได้เห็นไมเคิล โทมัสดับฝันลิเวอร์พูลในการเป็นแชมป์ลีกด้วยประตูในท้ายเกมการแข่งขัน ผมยังจำได้ถึงภาพของแฮนเซ่นชูถ้วยแชมป์ได้ในปีถัดมา ช่างเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ ทุกวันนี้ผมตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเจริญรอยตามแฮนเซ่นนำแชมป์ลีกกลับมาถิ่นแอนฟิลด์ให้จงได้

แค่ตอนที่ผมไปฝึกฟุตบอลกับลิเวอร์พูลตอนอายุ 8 ขวบเท่านั้นที่ทำให้ผมกลายมาเป็นคอปไพต์อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่รู้สักนิดว่าจะเชียร์ทีมไหน สัปดาห์หนึ่งผมก็ไปอยู่ที่อัฒจันท์พานินี่ที่กูดิสันปาร์ค อีกสัปดาห์ผมก็ไปร้องเพลงยืนโยกไปมาที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป หัวใจของผมถูกยึดครองโดยฟุตบอล แต่ไม่ได้แบ่งแยกสี แต่คนอื่นๆ ไม่ได้เห็นด้วยกับการนี้ กับพ่อ เราต้องเลือกเอาว่าจะเป็นสาวกสีแดงไม่ก็ยอมตาย

“ลิเวอร์พูลๆๆ” พ่อกรอกหูผมด้วยคำๆ นี้ตลอดเวลาเหมือนเป็นบทเพลงสวด
แต่ก็เช่นเดียวกับครอบครัวอื่นๆ ในเมอร์ซี่ไซด์ซึ่งมีทั้งสายเลือดสีแดงและสีน้ำเงินผสมปนเปกันไปในทุกครอบครัว พี่ชายของแม่ผม ลุงเลสลี่ เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของเอฟเวอร์ตัน ลุงมีตั๋วปี, ผ้าพันคอ, ธง และของสะสมเอฟเวอร์ตันเต็มบ้าน บ่อยครั้งที่ลุงเลสลี่จะมาที่บ้านหลังเกมเอฟเวอร์ตัน เอาชุดฟุตบอลเอฟเวอร์ตันมาเป็นของกำนัลเสมอเพื่อจะพยายามกล่อมผมให้หันไปเชียร์เอฟเวอร์ตันด้วย

ถ้าลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ยากเลยที่จะเจอรูปผมวัยเด็กในชุดเอฟเวอร์ตันเต็มยศ เสื้อสีน้ำเงิน,กางเกง, ถุงเท้า และอุปกรณ์ครบชุด เมื่อผมเริ่มเป็นที่รู้จักที่ลิเวอร์พูลกลุ่มแฟนเอฟเวอร์ตันบางกลุ่มมีรูปนี้และพิมพ์มาเผยแพร่ พวกเขาต้องรักมันแน่ เพราะเมื่อหนังสือพิมพ์เดอะ มิเรอร์ ได้ข่าวเกี่ยวกับรูปนี้ ก็ตามหารูปมาจนได้และนำไปตีพิมพ์ต่อ

เมื่อผมเริ่มโด่งดังอยู่กับลิเวอร์พูลรูปนี้ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง รูปนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่คิดว่ารูปนี้ถูกทำปลอมขึ้นมา แต่ผิดครับ รูปนี้เป็นของแท้แน่นอนถ่ายไว้เมื่อปี 1987 รูปผมเองแต่งชุดเอฟเวอร์โตเนี่ยน และไม่ใช่แต่งไปงานแฟนซีหรือท้าพนันกับใครที่ไหน ลุงเลสลี่พาผมไปชมเกมที่กูดิสันตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมได้เข้าชมหลายเกมระหว่างเส้นทางไปสู่แชมป์ลีกของเอฟเวอร์ตันฤดูกาลนั้น

ผมเล่นเกมชนะตอนไปชมเกมและได้รางวัลให้ไปถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์ลีกและถาดแชริตี้ ชิลด์ ที่กูดิสัน ลุงเลสลี่ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะทำเอาพ่อผมเดือดจนแทบพุ่งทะลุหลังคาบ้านและก็จริงเสียด้วย พ่อแทบเต้นเมื่อนึกเห็นภาพลูกชายคนเล็กในชุดสีน้ำเงิน ยืนอย่างสุดแสนภูมิใจในห้องถ้วยรางวัลที่กูดิสัน

“สตีเว่นจะไม่ไปที่นั่น” พ่อบอกลุงเลสลี่ไม่หยุด

“ลูกจะไม่ไปที่นั่นสตีเว่น” พ่อบอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ผมอยากไป ผมตื่นเต้นกับรางวัล โธ่! ก็ผมแค่เด็กเจ็ดขวบที่บ้าบอลสุดหัวใจ ไม่เข้าใจสักนิดถึงความเป็นอริระหว่างเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูล

ในตอนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ลุงเลสลี่มาหาเราที่บ้านเพื่อช่วยเตรียมตัว เขาเอาชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมของเอฟเวอร์ตันมาให้ด้วย ผมแกะห่ออย่างตื่นเต้นรีบสวมเสื้อสีน้ำเงินตัวใหม่ทันทีไม่สนแม้เนื้อผ้าจะแข็งกระด้างแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปกูดิสันกับลุงเลสลี่ ทิ้งพ่อที่เดือดดาลไว้เบื้องหลัง ผมว่าพ่อคงแอบคิดจะตัดขาดผมไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น

ที่กูดิสันลุงเลสลี่พาผมไปที่ห้องแสดงถ้วยรางวัล ยิ้มแป้น มีคนถ่ายรูปเต็มไปหมด ทุกวันนี้เมื่อหัวใจทั้งดวงของผมตกเป็นของลิเวอร์พูลไปหมดแล้ว ผมเคยมองย้อนไปถึงเหตุการณ์นี้ก็ได้แต่สงสัยตัวเองว่าทำแบบนั้นไปได้อย่างไร ผมขอโยนความผิดไปให้กับความอ่อนเดียงสาก็แล้วกันครับ ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกันทั้งนั้น
เอฟเวอร์ตัน, ลิเวอร์พูล หรือทีมไหนๆ ก็ตาม ในช่วงเวลานั้นสำหรับผมเป็นแค่โอกาสที่จะได้จับจองเป็นเจ้าของชุดฟุตบอลใหม่ๆ การเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลให้ได้มากที่สุดกลายเป็นงานอดิเรกที่จริงจัง ทุกคริสมาสต์ผมจะได้ชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมสองชุดเป็นของขวัญ ส่วนวันเกิดยิ่งได้เยอะกว่านั้น ผมคงหน้าเหมือนยักษ์ถ้างานไหนไม่ได้ชุดกีฬาเป็นของขวัญ พ่อกับแม่ผมสุดยอดมากในเรื่องนี้ พวกท่านรู้ว่าเสื้อจากสโมสรต่างๆ ไม่ซ้ำกันมีความหมายกับผมแค่ไหน

ด้วยความช่วยเหลือจากคุณตา และเงินรายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่แม่หาได้จากการดูแลคุณตา พวกท่านเก็บเอาไว้ซื้อชุดให้ผมทั้งนั้น ผมมีทั้งชุดของทอตแน่ม, แมนซิตี้ และแน่นอนขาดไม่ได้ ชุดลิเวอร์กับเอฟเวอร์ตัน สมุดสติกเกอร์พานินี่ถูกผมสำรวจปรุโปร่งทุกหน้า ทุกหน้าถูกกากบาท ทุกชุดต้องเป็นเจ้าของให้ได้

“แม่ครับ” ผมมักตะโกนมาจากชั้นบนอย่างตื่นเต้น “ผมอยากได้เสื้อใหม่เอี่ยมของสเปอร์ส นะครับ”

หนังสือแคตตาล็อกและร้านขายเสื้อไม่ใช่จะเพียงพอจะสนองความคลั่งไคล้ของผม รายการ  Match of the Day  ก็เปรียบเสมือนเวทีแฟชั่นชุดฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านี้ยั่วยวนใจให้ผมหลงใหล ถ้าอาทิตย์ไหนมีเกมระหว่างเอฟเวอร์ตันกับทอตแน่มฉายทางทีวี พอจบเกมปุ๊บผมจะแล่นออกไปที่ถนนในชุดของทีมผู้ชนะทันที จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในเกมนั้น ดวงตาผมเป็นประกายเหมือนดวงดาว ร่างกายผมก็ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อที่ปักชื่อดารานักเตะอยู่บนแผ่นหลัง

เสื้อตัวโปรดของผมเป็นเสื้อของเนวิลล์ เซาธ์ทอล เสื้อโกล์เอฟเวอร์ตันเป็นชุดเก่งของผม ผมเคยใส่เสื้อตัวโปรดนี้โดยไม่ยอมถอดอยู่หลายวัน ผมแต่งตัวเหมือนเซาธ์ทอลเป๊ะ ถุงเท้าร่นลงต่ำเล็กน้อยพอให้มองเห็นบางส่วนของสนับแข้ง ซอนดิโก้  พี่เบิ้มเนฟมักจะสวมสตั๊ด ไฮ-เทค ผมเลยขอให้พ่อกับแม่ซื้อรองเท้าแบบเดียวกันเปี๊ยบให้

ผมรักเซาธ์ทอล เมื่อไหร่ที่ผมไม่นึกอยากเล่นตำแหน่งในสนาม ผมก็จะหยิบเอาชุดโกล์มาสวมสมมติว่าตัวเองเป็นเนวิลล์ เซาธ์ทอลผู้ยิ่งใหญ่ พุ่งตัวไปบนสนามหญ้า โจนไปแย่งบอลที่เท้าเพื่อน ทำตัวกล้าหาญเหมือนเพิ่งเซฟประตูสำคัญๆ ได้เหมือนฮีโร่เอฟเวอร์ตันตัวจริง เนวิลล์ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมรักความผูกพันที่เขามีต่อฟุตบอล มันจะเป็นเหมือนวินาทีที่ยิ่งใหญ่เสมอถ้าผมเปิดสติ๊กเกอร์สะสมของพานินี่เจอรูปของเนวิลล์ เซาธ์ทอลเข้า  ผมดีใจอยู่เป็นชั่วโมงๆ ทุกครั้ง ผมวิ่งไปทั่วละแวกบ้านชูสติ๊กเกอร์ไปมาเหมือนมันเป็นถ้วยรางวัล

สติ๊กเกอร์, ชุดฟุตบอล การไปชมเกม และเล่นฟุตบอลคือชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยฟุตบอลของผม อย่างที่ผมบอกไว้ตลอดมา และความคลั่งไคล้นี้เองที่เป็นช่องทางนำผมก้าวเข้าไปหา สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

***** จบบทที่ 2 ****

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2 ( ต่อ)

Posted in Uncategorized on November 1, 2008 by bertbert

วันนี้มาว่ากันถึงตอนสุดท้ายของบทที่ 1 นะครับ

การเดินทางของผมผ่านระบบการศึกษาของเมอร์ซี่ย์ไซด์เรียบๆ ตรงไปตรงมา ผมมองโรงเรียนเป็นสนามฟุตบอลแสนวิเศษที่มีตึกหน้าตาน่าเบื่อล้อมรอบ ป้ายแรกของผมคือโรงเรียนเซนต์ส ไมเคิล ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงเรียนประถมฮายตัน-วิธ-โรบี้ เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Huyton-with-Roby Church of England Primary) แม้จะอยู่ห่างจากบ้านแค่เดินไม่กี่นาทีถึง แต่แม่ก็ยืนยันที่จะไปรับไปส่งผมที่โรงเรียนทุกวัน

ตอนเรียนอนุบาลและประถมต้นก็สนุกดี ผมซนบ้างเป็นบางครั้ง บางทีถ้าผมดื้อคุณครูก็จะลงโทษให้ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ไปยืนนับอิฐที่รายเรียงบนผนังอยู่สัก 5 นาที ผมไม่เคยมีเรื่องกับเด็กอื่น ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยและไม่กล่าวคำสบถ บางครั้งผมก็ดื้อและซนบ้าง ความผิดของผมมีอยู่อย่างเดียว ผมชอบเถียงและชอบวิ่งไปคลุกโคลนบนสนามหญ้าเวลาถูกสั่งให้อยู่บนพื้นคอนกรีต ก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป

สำหรับผมการเรียนไม่น่าพิสมัยนัก ผมแค่นั่งในห้องเรียนรอให้ถึงเวลาพักซึ่งพวกนักเรียนก็จะได้เล่นเตะบอลกัน ช่วงเวลาพักกลางวันเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดเพราะมันนานถึงหนึ่งชั่วโมงซึ่งก็หมายถึงว่าจะเล่นฟุตบอลได้นานขึ้น ผมไม่ค่อยรอทานอาหารกลางวันของโรงเรียนเพราะมันเสียเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องเข้าแถวรอตักอาหารผมมักจะร้องตะโกนอย่างหงุดหงิด

“เร็วหน่อยๆ บิ๊กแมทช์รออยู่ข้างนอกนะ”

บางครั้งผมจะขอให้แม่เตรียมอาหารกลางวันไปให้

“ลูกควรกินอาหารกลางวันร้อนๆ ของโรงเรียนมากกว่า” แม่ไม่เห็นด้วย “ไม่อย่างนั้นก็กลับมากินที่บ้านถ้าไม่ชอบอาหารที่โรงเรียน”

เราพบกันครึ่งทางด้วยห่ออาหารกลางวัน แซนด์วิช,ช็อคโกแลต เครื่องดื่ม และผลไม้นิดหน่อย ผลไม้จะกลับมาบ้านในสภาพเดิมเป็นประจำ แอ๊ปเปิ้ล,กล้วย หรือส้มไม่ใช่ตัวผมแน่ แซนด์วิชก็ไม่ใช่ของชอบผมในตอนนั้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่ผมจะโปรดอาหารพวกขนมปัง,เนื้อ หรืออาหารอื่นๆ ที่กินระหว่างเล่นบอลได้

“สตีวี่ ลูกไม่กินแซนด์วิชเลย” แม่มักจะบ่นถ้าเห็น “ทำไมกินแต่ช็อคโกแลตล่ะ””

แม่ไม่เข้าใจหรอก ตอนพักทานอาหารผมต้องรีบทำเวลา ผมทานอาหารที่แม่เตรียมไปจากบ้านระหว่างเล่นฟุตบอลหรือไม่ก็ขย้ำรวดเดียวหมดระหว่างวิ่งกลับเข้าห้องเรียนรวมไปถึงน้ำชา เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเล่นบอลกันที่ไอร์ออนไซด์หรือมีเพื่อนรอเล่นบอลอยู่ผมก็จะเอาของกินยัดใส่กระเป๋าเผ่นออกประตู โยนอาหารให้สุนัขข้างบ้านระหว่างทางวิ่งไปเล่นฟุตบอล พอเล่นเสร็จผมก็หิวโซกลับบ้าน มาค้นหาบิสกิต ขนม หรือช็อคโกแล็ตทานทีหลัง
กลับไปเรื่องที่โรงเรียนกันบ้าง ครูที่เคยเห็นผมเขียนอะไรยุ่งไปหมดด้วยลายมือไก่เขี่ยในชั้นเรียน ปั่นจี๋แทบเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากแท่งดินสอที่ผมรีบเร่งเขียนคงคิดว่าผมต้องตั้งใจกับบทเรียนแหง

แต่ขอโทษจริงๆ ครับคุณครู เปล่าเลย สมุดถูกใช้เขียนจัดชื่อทีมสำหรับเกมฟุตบอลตอนพักกลางวัน ที่ปกหลังของหนังสือผมเขียนรายชื่อนักบอลของผมเอาไว้ ทันทีที่กริ่งเวลาพักดังขึ้น ผมก็พุ่งปราดไปที่สนามจัดการแบ่งทีมพวกผู้ชาย และกันพวกเด็กหญิงออกนอกสนาม

“พวกเธอจะนั่งดูก็ได้” ผมแสดงความใจกว้าง “แต่ว่าตรงนี้เป็นพื้นสนามจะเข้ามาเดินเพ่นพ่านไม่ได้หรอก”

ขอบเขตสนามใช้กระเป๋าวางกำหนดจุดเอาไว้รวมถึงทำเป็นเสาโกล์ เกมฟุตบอลที่โรงเรียนเซนต์มิคส’ ถือเป็นเรื่องจริงจังมาก เกมชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่เวมบลีย์ยังไม่เข้มข้นเท่านี้เลย ทุกวันนี้บนใบหน้าผมยังมีร่องรอยแผลเป็นที่ผมได้มาจากสนามแห่งนี้ตอนที่ผมชนเข้ากับรั้วจากการแย่งบอลในเกม ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแพ้ ใครชนะก็อวดได้เต็มปากส่วนผู้แพ้ก็ต้องสงบปากสงบคำจนกว่าจะถึงเกมแก้มือ

แบรี่เองเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีคนหนึ่ง เขาได้ไปเล่นทีมชุด ยู-13 กับทีมเดนเบอร์นที่พ่อผมช่วยดูแลทีมอยู่ เดนเบอร์นเป็นทีมที่ดีทีมหนึ่ง ไมเคิล บรานช์และโทนี่ ฮิบเบิร์ตเคยเล่นกับทีมนี้ด้วย ผมไปเล่นให้พวกเขาช่วงสั้นๆ และช่วยให้ทีมชนะในเอดจ์ฮิล จูเนียร์ ลีก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะให้ผมหยุดเล่น

แบรี่กับผมนับเป็นผู้เล่นสำคัญในทีมโรงเรียน มีอยู่ปีหนึ่งเราช่วยทำผลงานให้ทีมเซนต์มิคส’ เป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยระดับท้องถิ่นและเรามีโอกาสจะไปแข่งที่เวมบลีย์โดยที่ต้องเอาชนะทีมจากตำบลต่างๆ ในทัวร์นาเมนต์ก่อน

รางวัลสำหรับชัยชนะนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน เวมบลีย์ แค่นึกถึงชื่อสนามเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ทำเอาผมหลับไม่ลงเอาแต่นอนคิดว่าจะเป็นยังไงที่ได้ลงแข่งในสนามที่โด่งดังที่สุดในโลก ผมตั้งใจแข่งตลอดทัวร์นาเมนต์ แต่ในเกมหนึ่งผมโดนห่วงกระป๋องโค้กคมๆ บาดหัวเข่า ผมโดนเย็บ 5 เข็ม ไม่มากมายอะไรแต่ก็ทำให้ผมอดร่วมทีมไปแข่งที่เวมบลีย์

เรื่องนี้ทำเอาผมร้องไห้ฟูมฟาย ดูเหมือนโชคร้ายแบบนี้จะติดตัวผมอยู่เสมอ คิดดู เพื่อนร่วมทีมได้หยุดโรงเรียนไปแข่งฟุตบอลที่เวมบลีย์ แต่ผมกลับต้องหยุดโรงเรียนเข้าโรงพยาบาล เวลาผ่านไปแม้รอยแผลเป็นบนเข่าจะจางลงแต่ความทรงจำเจ็บปวดที่ต้องพลาดเกมสำคัญที่เวมบลีย์ยังคงแจ่มชัด
ตอนที่ผมจบจากโรงเรียนเซนต์มิคส์’ ผมก็มาถึงทางเลือกครั้งใหญ่สำหรับโรงเรียนมัธยม เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมบาวริ่ง หรือโรงเรียนโนว์สลีย์ ไฮ พอลเองเรียนอยู่ที่บาวริ่งผมก็เลยอยากไปเรียนที่นั่นเพียงแค่จะได้ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ชาย

ส่วนโนว์สลีย์ ไฮ มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง ทีมฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญของโรงเรียน ทุกๆ คนรู้ดีว่าผมจริงจังเรื่องฟุตบอลเพราะฉะนั้นโรงเรียนที่จะช่วยผมให้พัฒนาในด้านฟุตบอลได้จะเหมาะสมที่สุด คุณครูของผมที่เซนต์มิคส์’ ครูแชดวิคได้ให้คำแนะนำกับผม

“เธอน่าจะเลือกไปเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน นะสตีเว่น” ครูแนะ “ที่นี่เหมาะสมกว่าในเรื่องฟุตบอล”

โรงเรียนมัธยมคาทอลิกคาร์ดินัล ฮีแนน เป็นโรงเรียนหนึ่งที่ผมรู้จักดีมานานแล้ว ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องฟุตบอลอาจจะดีที่สุดในแถบนี้เลยก็เป็นได้ สามีของครูแชดวิค-ครูเอริก- สอนวิชาพละศึกษาอยู่ที่นั่น

“ดูแลสตีเว่นด้วยนะคะ” ครูแชดวิคบอกกับสามี “เขาเล่นฟุตบอลเก่งเหลือร้าย เขาจะต้องเป็นนักเรียนที่น่าชื่นชมที่คาร์ดินัล ฮีแนนได้แน่”

หลายคนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ บลูเบลล์อยู่นอกเขตพื้นที่ของคาร์ดินัล และผมไม่ใช่คาทอลิก แต่ใครจะสนล่ะ ฟุตบอลมาเป็นที่หนึ่งเสมอ คำรับรองของครูแชดวิคที่ว่าผมเรียนดีพอใช้ และทักษะฟุตบอลของผม ช่วยให้ผมเดินเข้าสถาบันคาร์ดินัล ฮีแนน ได้ในที่สุด อาชีพในอนาคตของผมบงการให้ผมเข้าเรียนที่นั่น

สิ่งสำคัญคือการลงทะเบียนเป็นนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน จะทำให้ผมได้เข้าร่วมเล่นกับทีมเยาวชนลิเวอร์พูล-ลิเวอร์พูล บอยส์- ไม่ใช่ทีมเยาวชนโนว์สลีย์  ทีมลิเวอร์พูล บอยส์มีภาษีดีกว่ามาก พวกแมวมองทั้งจากลิเวอร์พูลและเอฟเวอร์ตันมักจะไปมองหาเด็กๆ ฝีเท้าดีในเกมการแข่งขันของลิเวอร์พูล บอยส์เสมอ โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนจึงเหมาะสมกับผมที่สุดแล้ว

การเลือกโรงเรียนมัธยมด้วยเหตุผลเรื่องฟุตบอลมีส่วนช่วยให้ผมได้ฝึกความอดทนด้วย คาร์ดินัล ฮีแนนเป็นโรงเรียนใหญ่ มีนักเรียนกว่า 1,300 คน ตอนแรกผมไม่อยากไปเรียนที่นั่นแม้จะรู้ว่าโรงเรียนนี้มีจุดแข็งที่ทีมฟุตบอล ผมนอนร้องไห้เกือบทุกคืน ความคิดที่ว่าต้องย้ายไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเขย่าขวัญผมไม่น้อย คาร์ดินัล ฮีแนน อยู่ห่างจากบ้านไปแค่ 3 ไมล์ แต่สำหรับผมมันเหมือนอยู่คนละประเทศ

พ่อกับแม่คอยให้กำลังใจผม โดยการบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นฟุตบอลของผม แม้จะไม่เต็มใจผมก็ต้องไปเรียนที่นั่น ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะคุ้นเคยแต่ในที่สุดโรงเรียนแห่งนี้ก็กลายมาเป็นฉากสำคัญในชีวิตผม
ตอนเรียนปีสามผมได้นั่งรถบัสไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ ผมรักช่วงเวลานี้ เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมให้ผมไปโรงเรียนเอง สุดยอดจริงๆ ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี พระเจ้าทรงโปรด รู้สึกเหมือนกลายเป็นผู้ใหญ่ในทันที ผมออกจากบ้านพร้อมเงินค่ารถและค่าอาหารกลางวันอุ่นในกระเป๋า ผมรู้สึกเหมือนเป็นราชา เดินอาดๆ ออกจากบ้านไปตามถนนบลูเบลล์ไปเรียกเพื่อนอีกสองคน เทอรี่ สมิธ กับฌอน ดิลลอน จากนั้นเราสามคนก็ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ เดินยืดราวกับเป็นพวกแก๊งในเมือง

ฌอนนั้นแย่ที่สุด เขาตื่นสายเสมอ ผมกับเทอรี่ต้องไปที่บ้านเขาเอาก้อนหินขว้างขอบหน้าต่างปลุกเขาตอนแปดโมงสี่สิบห้า รอยแตกเล็กๆ หลายรอยที่หน้าต่างห้องนอนของฌอนเป็นผลมาจากความเป็นคนไม่รู้เวลาของเขานี่เอง

ในที่สุดเมื่อลากฌอนออกมาจากบ้านได้เราก็ต้องวิ่งหน้าตั้งไปขึ้นรถ เด็กสามคนลากกระเป๋านักเรียนวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปขึ้นรถ เราหัวเราะกันเสมอ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน ตอนนนี้ฌอนทำงานเป็นคนงานอิฐซึ่งชีวิตไปได้สวย และทุกวันนี้ผมก็ยังได้เจอเทอรี่บ่อยๆ เทอรี่เป็นแฟนเอฟเวอร์ตัน เราก็เลยได้ยั่วแหย่กันเสมอ

ตอนที่ฌอน,เทอรี่ และผมอยู่ที่โรงเรียนคาร์คินัล ฮีแนน ช่วงเวลาสำคัญที่ผมรอคอยในแต่ละวันคือเวลาของเกมฟุตบอลในระหว่างพักสองรอบๆ ละ 25 นาที และเกมหนึ่งชั่วโมงในตอนพักกลางวัน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันเอาแต่คิดถึงเกมฟุตบอล ผมชอบเรียนวิชาพละกับคุณแชดวิค แต่โชคร้ายที่วิชาพละไม่มีฟุตบอลหรอก เราได้เล่นแต่รักบี้,ยิมนาสติก หรือคริกเก็ต

ผมเองสนใจแต่ฟุตบอล จะเล่นในร่มหรือกลางแจ้งก็ไม่เกี่ยง หรือไม่ก็เทนนิส ผมชอบเล่นเทนนิสด้วยเหมือนกัน ที่คาร์ดินัล ฮีแนน เราได้เล่นมินิเทนนิส แบบที่ใช้ตาข่ายขนาดเล็กและแรคเก็ตไม้ เรามักจะตกแต่งไม้เป็นสัญญลักษณ์ไนกี้ หรือลายเส้นแบบอดิดาสคอยประกวดประขันกันว่าใครจะตกแต่งไม้ได้สวยกว่ากัน อย่างไรก็ตามฟุตบอลก็ยังเป็นวิชาสำคัญในหลักสูตรการศึกษาของผม

ที่โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน ไม่ค่อยโหดนัก มีเรื่องวิวาทกันในสนามบางเป็นครั้งคราว ผมเองมีกลุ่มเพื่อนซึ่งเราคอยดูแลกันและกัน พวกเรามีเรื่องชกต่อยซึ่งผมเข้าไปมีส่วนร่วมบ้างไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องกับผม ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือพวกเด็กโต

บางครั้งผมก็ปากแตกกลับบ้านเพราะร่วมวงชกต่อย แต่โดยส่วนใหญ่ชุดนักเรียนของผมจะเปื้อนโคลนมากกว่าเปื้อนเลือด ผมรักที่จะอยู่ในสนามคลุกฝุ่นคลุกโคลนไปตามเรื่องตามราว ผมรักช่วงเวลาที่ได้เล่นฟุตบอล สำหรับผมชั้นเรียนเป็นแค่สิ่งคั่นเวลาระหว่างเกมฟุตบอลเท่านั้น

เรื่องเรียนสำหรับผมไม่โดดเด่นอะไร ผมเรียนปานกลาง แต่ละวิชาก็ให้อารมณ์แตกต่างกันไป เช่นถ้าเรียนเลขได้ไม่ดีผมก็จะเกลียดวิชานี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าเรียน แต่ผมทำได้ดีเป็นพิเศษในวิชาภาษาอังกฤษที่มีครูผู้หญิงใจดีคอยช่วยผมก็เลยชอบเรียนภาษา ผมชอบเขียนเรียงความ ชอบแต่งเรื่อง ครั้งหนึ่งผมเขียนเรียงความเรื่อง “วันหนึ่งผมจะชนะฟุตบอลโลกได้อย่างไร”  ผมชอบเรียงร้อยถ้อยคำ ชอบอ่านด้วย

หนังสือที่ผมชอบมากที่สุดที่ได้อ่านตอนเรียนคือ Of Mice and Men เป็นเรื่องเศร้าถ้าคุณรู้จักตัวละครในเรื่องลึกซึ้ง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบหลายรอบจนหนังสือแทบหลุดเป็นส่วนๆ เราดูวีดิโอเรื่องนี้ เล่นละคร และสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ตอนสอบประเมินผล (GCSE – General Certificate of Secondary Education) ผมได้ C วิชาภาษาอังกฤษ D 6 วิชา และ E อีก 2 วิชา (การประเมินผลประกอบไปด้วยระดับ A*,A,B,C,D,E,F,G)

เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดผมมีความทะเยอทะยาน ความฝัน และเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว – ฟุตบอล
**** จบบทที่ 1 ****

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2

Posted in Uncategorized on October 31, 2008 by bertbert

บทที่ 1
ลิเวอร์พูลโดยกำเนิด

ถ้าลองกรีดเส้นเลือดผมออกดูก็จะเห็นเลือดสีแดงแบบลิเวอร์พูลไหลรินออกมาจากตัวผม ผมรักลิเวอร์พูลอย่างคลั่งไคล้ใหลหลง ความมุ่งมั่นของผมที่จะประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูลเพิ่มระดับความจริงจังขึ้นอีกเป็นทวีคูณเนื่องมาจากการจากไปของจอน-พอล

แต่ก่อนจะมาถึงจุดที่ยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ ความฝันของผมเคยต้องเผชิญอุปสรรคที่มาในรูปของอุบัติเหตุร้ายแรง เส้นทางสู่อาชีพนักฟุตบอลของผมเกือบจบสิ้นลงก่อนจะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ ความฝันของผมเกี่ยวกับลิเวอร์พูล ทีมชาติอังกฤษ หนทางสู่การได้สัมผัสถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ ได้วาดลวดลายในฟุตบอลโลก ทั้งหมดทั้งมวลเคยต้องฝากความหวังสุดท้ายไว้ในมือหมอผ่าตัดตอนที่ผมอายุได้เพียง 9 ขวบ

แอนฟิลด์คือรักแรกและบ้านหลังที่สองของผม ผมเริ่มไปหัดเล่นบอลร่วมกับไมเคิ่ล โอเว่นที่ศูนย์กีฬาศูนย์เวอร์นอน แซงก์สเตอร์ (Vernon Sangster Sports Centre)  ของสโมสรลิเวอร์พูลเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งนักฟุตบอลอาชีพอยู่นานเกือบปีแล้วตอนที่เหตุการณ์เลวร้ายส่งผมเข้าโรงพยาบาลไปพร้อมๆ กับความประหวั่นพรั่นพรึงเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ทุกวันนี้ผมยังใจหายทุกครั้งที่นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในสนามหญ้าใกล้ๆ บ้านเก่าที่บลูเบล ในฮายตัน,เมอร์ซีย์ไซด์

แถบละแวกบ้านผมมีลานโล่งล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้รกๆ แห่งหนึ่ง เป็นที่ที่ชาวบ้านมักจะเหวี่ยงขยะและข้าวของที่ไม่ใช้แล้วทิ้งเอาไว้เป็นประจำ แต่สำหรับเด็กเล็กๆ อย่างผมกับเพื่อนๆ แค่ลานแห่งนี้มีสนามหญ้ากว้างพอจะใช้เป็นที่เตะบอลเล่นกันได้ก็ดีถมเถแล้ว ที่ทิ้งขยะแห่งนี้กลายมาเป็นสนามแอนฟิลด์,กูดิสัน ปาร์ค หรือแม้แต่เวมบลีย์ ที่เปรียบเหมือนสวรรค์บนดินในโลกของพวกผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เช้าวันเสาร์วันหนึ่งผมออกไปเตะบอลเล่นกับมาร์ค ฮานแนน เพื่อนแถวบ้านคนหนึ่ง เราตกแต่งสนามนี้กันไว้นิดหน่อย ไม่หรูถึงขนาดสนามเบอร์นาบิวแต่ก็เป็นสนามของเรา เพื่อนคนหนึ่งเอาตาข่ายมาจากทีมในซันเดย์ ลีก ที่เขาเล่นอยู่ด้วยมาตัดแบ่งครึ่งแล้วทำโกล์เล็กขนาดฟุตบอล 7 คน ไว้ทั้งสองฟาก สุดแสนจะสมบูรณ์แบบ
วันนั้นมีแค่ผมกับมาร์คเล่นบอลกันสนุกสนานอยู่สองคน จังหวะหนึ่งลูกฟุตบอลลอยไปตกในพุ่มไม้คัน ไม่มีปัญหา  ผมวิ่งตามไปที่บอล “ฉันจะไม่แหย่มือเข้าไปหรอก” ผมตะโกนบอกมาร์ค “เดี๋ยวคัน” พุ่มไม้หนาจนผมมองไม่เห็นลูกบอล “ฉันจะเตะบอลออกไปแล้วกัน” ผมดึงถุงเท้าขึ้นสูงแหย่เท้าเข้าไปพยายามเขี่ยลูกบอล แต่ไม่เป็นผล ผมเลยหวดเท้าขวาเข้าไปในพุ่มไม้เต็มแรง ด้วยลูกเตะระเบิดกระป๋องแบบที่ผมใช้ยิงและส่งบอลเป็นประจำ ผมเหวี่ยงเท้าเร็วและแรงมากลึกเข้าไปในพุ่มไม้

เจ็บ !!

เท้าผมเตะโดนอะไรก็ไม่รู้เข้าอย่างจัง วินาทีนั้นความเจ็บปวดก็พุ่งปรี๊ด ผมแทบหัวใจหยุดเต้น ล้มตัวลงบนพื้นตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ผมกล้าพูดได้เลยว่าถึงต่อมาในอาชีพค้าแข้ง ผมจะเคยได้รับบาดเจ็บหนัก กระดูกเท้าหักและกล้ามเนื้อโคนขาหนีบฉีกขาด แต่บอกตามตรง ไม่เคยมีการบาดเจ็บครั้งไหนเจ็บปวดเทียบเท่ากับครั้งนี้ได้เลย มันเหมือนถูกเข็มอาบยาพิษแทง เจ็บจี๊ดลามมาจนถึงหน้าแข้งเพียงแค่เสี้ยววินาที
มาร์คกวดจี๋เข้ามาหา

“ไม่รู้ฉันโดนอะไรมาร์ค” ผมโวยลั่น “มองไม่เห็นอะไรเลย ขาฉันก็ติดอยู่ในนี้ดึงออกมาไม่ได้ด้วย”

มาร์คก้มมอง พระเจ้าช่วย ใบหน้าเขาซีดเผือดในเสี้ยววินาที

“มาร์คจะอ้วกแน่ๆ” ผมคิด มันร้ายแรงแค่ไหนกันนี่?

ผมมองไปที่เท้าบ้างและก็แทบไม่เชื่อสายตา คราดอันเบ้อเริ่มเสียบทะลุพื้นร้องเท้าทะลุนิ้วหัวแม่โป้ง ใครบางคนขว้างคราดสนิมเขรอะอันนี้ทิ้งมาตกที่พุ่มไม้ ด้ามจับคราดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มีแค่ซี่โลหะซึ่งผมก็เตะใส่เข้าเต็มรัก  ผมรู้สึกได้ถึงโลหะที่เสียดสีกับกระดูก

“ไปบอกใครมาช่วยเร็ว” ผมตะโกนใส่มาร์ค ทำให้มาร์ควิ่งจี๋ไปตามหาพ่อแม่ผม

ตอนนั้นเอง นีล เวสตัน เพื่อนบ้านคนหนึ่งได้ยินเสียงร้องเลยรีบวิ่งมาดู นีลลากผมออกห่างจากพุ่มไม้ คราดติดมาด้วยเหมือนเป็นอวัยวะที่งอกออกมาจากเท้า

“ฉันดึงคราดออกมาได้ไหม?” เพื่อนบ้านถาม

“อย่าดึงนะ!!!! อย่าดึง” ผมร้องห้าม

“ขอลองดูก่อน” นีลบอก แต่คราดไม่ขยับซักนิด
พ่อกับแม่รีบวิ่งมาดู ทันทีที่เห็นพ่อก็รู้เลยว่าเรื่องมันร้ายแรงแค่ไหน

“ สตีเว่นจะต้องเสียเท้าไป ”

ผมได้ยินพ่อพูดกับแม่ ไม่นะ! พระเยซูทรงโปรด อาชีพที่ผมใฝ่ฝันจะต้องถูกฝังไว้ที่พุ่มไม้นี่แล้วหรือ?

ในที่สุดรถพยาบาลจากแอลเดอร์ เฮย์ก็มาถึง คงสักสิบนาทีแต่ผมรู้สึกราวกับรอนานเป็นสิบชั่วโมง บุรุษพยาบาลมองเท้าผมผ่านๆ ก็รู้ทันทีว่าคงจะเอาคราดออกตรงนี้ไม่ได้

“ลองไปหาทางดูที่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่า” บุรุษพยาบาลคนหนึ่งออกความเห็น

คนสี่คนจึงช่วยกันยกผมไปขึ้นรถพยาบาล แล้วเราก็เปิดหวอซิ่งไปตลอดทางจนถึงแอลเดอร์ เฮย์

การเดินทางไม่ต่างกับการถูกทรมาน ผมไม่รู้หรอกว่ามีเนินกั้นบนถนนในลิเวอร์พูลกี่เนิน รู้แต่ว่าผมแหกปากร้องลั่นทุกครั้งที่รถกระแทก เมื่อขยับตัวกระดูกนิ้วเท้าผมต้องรับน้ำหนักราว 1 สโตนจากคราดที่กดจนนิ้วงอ ผมน้ำตาไหลท่วมทุกๆ การเคลื่อนไหว สั่นไปทั้งตัว บุรุษพยาบาลคนหนึ่งคอยช่วยจับคราดไว้ไม่ให้แกว่งไปมาอีก แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับสุดแสนจะน่ากลัว ผมเอาแต่ร้องตะโกนใส่คนขับรถ

“ไม่ใช่ความผิดคนขับนะลูก” พ่อกับแม่ปลอบผม

ผมแค่อยากให้ความเจ็บปวดหยุดลง หยุดมันที ได้โปรดหยุดเถิด!!

ระหว่างทางไปโรงพยาบาลพวกเขาถึงกับต้องให้ออกซิเจนกับผมเพื่อช่วยหายใจ

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลผมก็ถูกนำตัวขึ้นเตียงเข็นตรงไปห้องฉุกเฉินทันที ทุกคนเห็นชัดเหมือนๆ กันว่าอุบัติเหตุร้ายแรงแค่ไหน ได้ยินชัดด้วยอีกต่างหาก  แม่ผมประสาทเสียไปเลย ส่วนผมก็ร้องโหยหวนเสียจนโรงพยาบาลแทบแตก

พอได้ฉีดยาแก้ปวดแล้วนั่นแหละผมถึงได้หยุดร้อง ผมรู้สึกมึนงงอ่อนแรงแต่ยังไม่หลับ ท่ามกลางเมฆหมอกผมได้ยินหมอพูด

“คราดมีสนิมเยอะเลย อาจทำให้เกิดเนื้อตาย เราต้องตัดนิ้วเท้าออกไม่ให้เนื้อตายลามออกไป”

“เดี๋ยวก่อน” พ่อขัด “สตีเว่นเล่นฟุตบอล คุณควรคุยกับทางลิเวอร์พูลก่อนลงมือรักษาจะดีกว่า ต้องบอกให้พวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

จากนั้นพ่อก็โทรหาสตีฟ ไฮเวย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฟุตบอลเยาวชนลิเวอร์พูล ; อะคาเดมี่ (Academy) ; ผู้ซึ่งเร่งรีบขับรถมาโรงพยาบาลทันทีที่ทราบเรื่อง สตีฟเป็นคนแกร่ง พอมาถึงเขาก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด

“ไม่ได้เชียวนะ พวกคุณจะตัดนิ้วเท้าเขาไม่ได้เด็ดขาด” สตีฟบอกพวกหมอ

“เราต้องดูความร้ายแรงของแผลก่อนถึงจะตัดสินใจได้” หมอตอบ

สตีฟยืนกราน “ไม่ อย่าตัดนิ้วเขา”

สตีฟชนะการโต้แย้งในที่สุด ขอบคุณพระเจ้า หมอก็เลยฉีดยาชาให้ผมก่อนจะดึงคราดออก นิ้วเท้าผมกลายเป็นรูใหญ่มาก ขนาดเกือบเท่าเหรียญ 20 เพนนี และลึกราวหนึ่งนิ้วครึ่ง วุ่นวายกันพอดูแต่อย่างน้อยหมอก็รักษานิ้วเท้าและอาชีพผมไว้ได้

“เธอเป็นหนุ่มน้อยที่โชคดีเอามาก ๆ” สตีฟบอกกับผม

พวกหมอต่างเห็นด้วยในเรื่องนั้น

“เราแทบไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน” พวกหมอเล่า

แม้แต่พอลพี่ชายผมก็ยังดูห่วงใยเมื่อเขามาเยี่ยมผม ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพอลจะแหย่ผมได้ทุกเรื่องแท้ๆ
มีเรื่องดีอยู่อย่างหนึ่งจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั่นก็คือผมไม่ต้องไปโรงเรียนอยู่ตั้งสามสัปดาห์ หมอสั่งห้ามชัดเจน

แหม! แล้วเด็กอย่างผมจะกล้าขัดคำสั่งคุณหมอได้อย่างไรกัน ทางโรงเรียนส่งการบ้านมาให้ทำด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้เสร็จ ไม่มีโอกาสเลยเพราะผมเอาแต่มัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการประคบประหงมรักษาแผล

ทุกคนในครอบครัวเอาใจผมเต็มที่ ผมก็เลยได้โอกาส นอนแช่บนเก้าอี้ยาวดูวีดีโอเทปเกมลิเวอร์พูลระหว่างรอคนมาทำแผลให้ ยอดเยี่ยมที่สุด ฮีโร่ทุกคนของผมยกขบวนกันมาโชว์ลีลาบนจอทีวี ทั้งจอห์น บาร์นส, เคนนี่ เดลกลิช หรือแม้แต่เอียน รัช สำหรับผมพวกเขาเหมือนยาวิเศษชั้นดีที่ช่วยให้แผลหายวันหายคืน

ทุกๆ วันจะมีพยาบาลมาล้างแผลให้ด้วยยาฆ่าเชื้อ เอาก้อนสำลียัดอุดแผลไว้ ใช้ผ้าตาข่ายปิดทับด้านนอก สุดท้ายก็พันผ้าพันแผลจากเท้าสูงไปจนถึงข้อเท้า  เมื่อแผลค่อยๆ ดีขึ้นๆ พยาบาลก็ลดขนาดก้อนสำลีที่ใช้อุดให้เล็กลงเรื่อยๆ

 

ระหว่างใช้เวลารักษาตัวนานหลายสัปดาห์ทำให้ผมรู้ซึ้งว่าฟุตบอลสำคัญกับชีวิตผมมากแค่ไหน ผมเริ่มดูเกมฟุตบอลทางทีวีจริงจังขึ้น ผมมักจะนั่งดูทีวีที่เก้าอี้ยาวโดยนั่งโหม่งลูกบอล หรือเดาะบอลด้วยเท้าซ้ายไปด้วย บางทีผมจะกอดลูกบอลไว้แน่นเพื่อความอุ่นใจ ผมไม่อยากอยู่ห่างจากลูกฟุตบอลอีกเลย

บางครั้งแผลก็ปวดขึ้นมากะทันหัน แต่หลังจากรักษาอยู่ห้าสัปดาห์ผมก็เตะบอลได้จริงๆ อีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้า ปราศจากฟุตบอลชีวิตผมคงว่างเปล่า ผมไม่เคยลืมความว้าเหว่ที่ต้องอยู่โดยแยกจากฟุตบอลที่ผมรักคราวนั้น
นอกจากคำรับรองให้หยุดเรียนแล้ว หมอที่แอลเดอร์ เฮย์ ยังให้โบนัสอีกอย่างกับผมด้วย เมื่อแพทย์ผ่าตัดเห็นคราดสนิมเขรอะตัวก่อเรื่องก็ให้ความเห็นว่า

“ขยะแบบนี้ไม่น่ามาอยู่ที่สนามหญ้าเลย”

พ่อกับแม่ของผมเลยเอารองเท้ากับคราดไปให้ทนายดู ซึ่งเขาแนะนำให้ฟ้องร้อง เราเลยฟ้องสภาเมืองด้วยว่าที่ว่างตรงนั้นเป็นพื้นที่ในความดูแลของหน่วยงาน เป็นคุณก็ฟ้องจริงไหมล่ะ?

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผมเคยทำการฟ้องร้องอยู่แค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งคืออุบัติเหตุในแท็กซี่ซึ่งเราได้เงินชดเชยมา 800 ปอนด์ ส่วนครั้งนี้คราดที่เสียบเท้าทำให้เราได้เงินชดเชย 1000 ปอนด์ ไม่เลวเหมือนกัน แม่ใช้เงินที่ได้มาซื้อเสื้อฟุตบอล, กางเกง และข้าวของอีกเยอะแยะให้ผม

“เจ็บตัวครั้งนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกันนะแม่” ผมหัวเราะขำเรื่องนี้กับแม่ตลอดเวลาที่ไปช็อปปิ้งวันนั้น

ทุกครั้งที่หวนนึกไปถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นผมยังสัมผัสความเจ็บปวด เหมือนเส้นกระตุก ภาพคราดที่เสียบติดรองเท้ายังติดตา และยังคงรู้สึกถึงโลหะที่เสียดสีอยู่กับกระดูก มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ผมเอ่ยกับพ่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ในภายหลัง แต่พ่อก็เช่นเดียวกับสตีฟ ไฮเวย์ ไม่เคยเอาหน้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พ่อไม่เคยพูดทำนองว่า “พ่อตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าหมอจะไม่ตัดนิ้วเท้าแก” ตรงกันข้าม ตามแบบฉบับของเขาพ่อแค่พูดว่า “ลูกโชคดีเหลือเกินสตีเว่น”

เราต่างรู้ดีว่าถ้าเสียนิ้วหัวแม่โป้งไปโอกาสกับลิเวอร์พูลและทีมชาติอังกฤษก็คงยุติลงเพียงแค่นั้น จบสิ้นโดยถูกคราดเก่าๆ เขรอะสนิมจากที่ทิ้งขยะในฮายตันเสียบทะลุเท้า

ทุกวันนี้พื้นที่ว่างๆ เหล่านั้นกลายเป็นบังกะโลมากมายผุดขึ้นมาแทนที่ แทบไม่มีลานว่างล้อมรอบด้วยพุ่มไม้ที่รอซุ่มทำร้ายเด็กๆ อ่อนเดียงสาหลงเหลือให้เห็นอยู่อีกซักเท่าไหร่ สนามฟุตบอลแห่งแรกๆ ในชีวิตของผมทุกวันนี้ถูกทดแทนด้วยพื้นคอนกรีต บางแห่งกลายเป็นที่จอดรถ มีคนเอารถมาจอดกันเต็มพื้นที่ว่างในย่านที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าบลูเบลล์ บนถนนไอร์ออนไซด์ ที่ผมเติบโตขึ้นมา

ในสมัยก่อนตอนผมยังเด็กลานคอนกรีตหน้าบ้านเลขที่ 10 ถนนไอร์ออนไซด์ ของผม เคยเป็นสนามบอลส่วนตัวของผม ที่แห่งนั้นว่างเสมอเพราะรถไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบริเวณ นอกจากในวันอากาศดีที่พวกเด็กๆ อย่างเราเลือกจะไปเตะบอลกันที่สนามหญ้า แต่ในวันปกติเราก็จะเล่นกันที่หน้าบ้านนี่แหละ แค่ออกมาพ้นประตูบ้านก็เริ่มเกมกันได้ทันที ยอดเยี่ยมที่สุด

มีคนทำพื้นคอนกรีตตรงนั้นเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่สำหรับผมลานแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเลือกชีวิตฟุตบอล เป็นสิ่งนำทางให้ผมมาอยู่ ณ จุดนี้ โชคชะตาช่างน่าฉงนดีแท้ ที่แห่งนั้นเป็นสนามของผม ในวันคืนเก่าๆ ถ้ามีเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นตอนผมออกมาหน้าบ้านเราก็จะรวมตัวกันทันที เราเล่นเกมฟุตบอลฝ่ายละห้าคน,สิบคน,ยี่สิบคน,เล่นลิงชิงบอล,แข่งยิงประตู,วิ่งไล่ รวมไปถึงเกมสนุกๆ ที่เรียกกันว่า “โชว์บั้นท้าย- Bare Arse”

เกมนี้ฮามาก กฎคือถ้าใครทำเสียประตูมากเท่าจำนวนที่กำหนดเอาไว้ คนๆ นั้นก็ต้องเปิดก้น คนอื่นๆ ที่เหลือก็จะได้ยิงบอลไปที่บั้นท้ายเปลือยเปล่าของคุณฟรีๆ เกมนี้เป็นธรรมเนียมสเกาซ์ขนานแท้ที่สร้างผู้รักษาประตูฝีมือเยี่ยมรวมไปถึงศูนย์หน้าสุดแม่นมานักต่อนัก

สิบห้าปีให้หลังเมื่อปีเตอร์ เคราช์มีปัญหาเรื่องความแม่นยำที่ลิเวอร์พูล เราก็เล่นเกมนี้กันในการซ้อมเพื่อช่วยผมและเคราช์ชี่ในการซ้อมยิงประตู ผมถลกกางเกงลงปล่อยให้เคราช์ชี่เล็งยิงบั้นท้ายของผม มีคนแอบดูการซ้อมอยู่ที่กำแพงและถ่ายรูปเอาไว้ เพียงเท่านั้นทั้งผมและเคราช์ชี่ก็มีอันได้ไปโชว์บั้นท้ายหราในหนังสือพิมพ์  หนังสือพิมพ์ไม่อธิบายสักคำว่าพวกเราแค่เล่นเกมกัน เกมที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กและติดตัวผมมาตลอดชีวิต
ไอร์ออนไซด์หรือที่ผมอยากเรียกว่าถนนแสนสุขนั้น  เป็นบ้านที่ผมอาศัยอยู่ตั้งแต่วันลืมตาดูโลก 30 พฤษภาคม 1980 พอออกจากโรงพยาบาลวิสตันก็ตรงดิ่งมาอยู่บ้านฟุตบอลบนถนนแสนสุขแห่งนี้ทันที บลูเบลล์เป็นย่านที่คึกคักพอสมควร มีผับสี่แห่ง เดอะสวอน, บลูเบลล์, โรส และโอ๊ค ทรี

บุคคลมีชื่อเสียงหลายคนมีพื้นเพมาจากที่นี่ ทั้งดาราตลกอย่างเฟรดดี้ สตารร์ และ สแตน บอร์ดแมน, นักแสดงอาวุโส เร็กซ์ แฮริสัน รวมไปถึงดาราสาวสวยจากภาพยนตร์ชุด เซ็กซ์แอนด์เดอะซิตี้ (Sex and the City)  คิม แคททรอล ก็เคยอยู่ที่ถนนวิสตัน เลน ในช่วงสั้นๆ นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีร็อค เดอะ ลา’ส (The la’s) , สเปซ แอนด์ แคสท์ ก็เติบโตที่ฮายตันด้วยเหมือนกัน นักแสดงชื่อดังหลายคนเคยอาศัยอยู่แทบทุกหัวถนนในย่านนี้

ผมรักชีวิตที่บลูเบลล์ อาณาจักรของผม สนามเด็กเล่นของผม ชมรมเด็กสองแห่งก็ดี แต่ปรกติเรามักออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งไล่จับกันสองคนริมแม่น้ำอัลท์ บางทีก็เล่นซ่อนหา ทางที่ดีเราต้องทำตัวให้ว่องไวอยู่ตลอด เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมกับพอลพี่ชายจะกลับบ้านในสภาพเลอะโคลนไปทั้งตัวทำเอาแม่เดือดดาล ส่วนพ่อได้แต่ยิ้ม

ไอร์ออนไซด์เป็นย่านที่มีชีวิตชีวาเสมอ ในหน้าร้อนครอบครัวก็จะพากันมานั่งนอกบ้านพูดคุยสัพเพเหระบางครั้งก็ดื่มด้วยกันส่วนพวกเด็กๆ ก็ได้วิ่งเล่น มีแต่ความสนุกสนานรื่นรมย์ ขนาบข้างบ้านผมมีเด็กผู้หญิงอยู่สองคนพอดี ลิซ่ากับแคโรลีน ผมชอบเล่นกับพวกเธอมาก ลงคลานเล่นรอบๆ บริเวณ ชวนกันเล่นโคลน ผมชอบพวกเด็กผู้หญิงจริงๆ พวกเธอทำให้ผมติดใจ ผมเองไม่มีพี่น้องผู้หญิงก็เลยสนุกที่มีเด็กผู้หญิงในชีวิตบ้าง แต่ลิซ่ากับแคโรลีนก็มีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่ง พวกเธอไม่เตะบอล

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะผมหาเพื่อนเล่นเกมได้ไม่ยาก ที่บลูเบลล์มีเด็กที่กระหายจะเล่นฟุตบอลอยู่ดาษดื่น ฮายตันเป็นแหล่งกำเนิดนักเตะชื่อดังมานับไม่ถ้วนอย่างสตีฟ แมคมาน, โจอี้ บาร์ตัน, ลี ทรุนเดล, ปีเตอร์ รีด, โทนี่ ฮิบเบิร์ต, เคร็ก ฮิกเน็ต และเดวิด นูเจนท์

ในเมืองคลาคล่ำไปด้วยสโมสรฟุตบอลวันอาทิตย์นับแทบไม่ถ้วน ฟุตบอลเปรียบได้กับศาสนาประจำท้องถิ่นนี้ ที่บลูเบลล์ผมรวมทีมกับพรรคพวกวัยไล่เลี่ยกันอีกเจ็ดถึงแปดคนและกลายมาเป็นเพื่อนที่ดี เรามักจะเล่นเตะบอลกันไม่หยุดหย่อนจนแม่ๆ มาเรียกเข้าบ้านถึงจะยอมสลายตัว
แต่มีปัญหาอย่างหนึ่งรบกวนผม ผมไม่ค่อยได้เล่นฟุตบอลดีๆ กับเพื่อนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะผมเก่งกว่าพวกเขาเกินไป ด้วยเหตุนี้ ผมจึงชอบเล่นฟุตบอลกับพอลพี่ชายและพวกเพื่อนๆ ของเขาซึ่งรุ่นใหญ่กว่าผมถึงสามปีมากกว่า พอลมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ราวสิบห้าคนได้และพวกเขาเล่นฟุตบอลกันเต็มสูตร ตอนอายุหกขวบผมตัวคนเดียวรับมือพอลกับเด็กเก้าขวบอีกคนได้สบายๆ ทั้งพอลและเพื่อนๆ ของเขาจะเลือกผมให้เล่นทีมเขาเสมอ ผมชอบแข่งกับพวกเขาซึ่งยอมรับในฝีเท้าผม

เพื่อนๆ พอลเล่นบอลเก่งๆ กันทั้งนั้น  พอลเองเคยไปทดสอบฝีเท้ากับโบลตัน วันเดอเรอรส์ เด็กอีกคนชื่อแดนนี่ วอ์ลคเกอร์ก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนฟุตบอลที่ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ปกติแก๊งของพอลจะเล่นอยู่ในทีมชุดอายุต่ำกว่า 10 ปี ในลีกท้องถิ่นชื่อทีมโทลเกท (Tolgate) ซึ่งชายสองคนจากฮายตันเป็นผู้ดูแล วันหนึ่งผมตามพอลไปที่แมตช์การแข่งขันของทีมโทลเกทและก็เลยลองขอลงเล่นบ้าง

“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา?” คนดูแลถาม

“เจ็ดขวบ” ผมตอบ

“เด็กเกินไป” พวกเขาตัดบทในที่สุด

ผมน้ำตาไหลพราก “พวกคุณไม่รู้อะไร ผมเก่งพอจะเล่นลีกนี้” ผมคร่ำครวญ หมดสนุกในทันที การถูกปฏิเสธแผดเผาจิตใจของผมอย่างร้ายกาจ

สนามพื้นคอนกรีตกับสนามหญ้าแข็งกระด้างที่บลูเบลล์เป็นสังเวียนแข้งที่เหล่านักเตะรุ่นเยาว์จะหลั่งเลือดได้ง่ายๆ การเลี้ยงบอลให้เชื่องเท้าและความแคล่วคล่องว่องไวเป็นสองทักษะที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด ผมพัฒนาทักษะทั้งสองด้านขึ้นมาได้เร็วเหลือเชื่อ มันจำเป็น เพราะพอลกับพวกเด็กโตไม่เคยยั้งเวลาเข้าแท็คเกิล ถึงจะกับเด็กรุ่นน้องสามปีอย่างผมก็ตาม อัดกันตลอด ทำเอาผมกลิ้งประจำ ไม่มีการปรานีปราศรัย

แต่ผมก็ชอบ ไม่เคยถอย นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พวกเด็กโตยอมให้ผมเล่นด้วย บ่อยครั้งที่ผมวิ่งกลับเข้าบ้านไปทำแผลก่อนมาเล่นต่อ จนถึงทุกวันนี้ผมยังมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นที่ระลึกจากเกมฟุตบอลข้างถนนจากการโดนเบียดอัดกับรั้ว ตะปูกรีดหน้าเป็นรอย แต่ผมไม่เดือดร้อน ผมวิ่งห้อไปบ้านปู่โทนี่ที่เลขที่ 35 ถนนไอร์ออนไซด์ คุณปู่ทำแผลให้อย่างประณีตแล้วผมก็วิ่งกลับมาเล่นเกมต่อ

“เร็วๆ เข้า” เพื่อนร่วมทีมตะโกนเรียก แล้วก็ตูม ตูม สงครามเริ่มอีกครั้ง
ทุกวันนี้ผมซื้อทั้งบ้านเลขที่ 10 และเลขที่ 35 เก็บเอาไว้ บ้านสองหลังนี้จะเป็นทรัพย์สินของครอบครัวเราตลอดไป ตอนนี้พี่ชายผมเองก็อาศัยอยู่ที่บ้านเก่าของเราที่บ้านเลขที่ 10 ไอร์ออนไซด์จะเป็นถิ่นของพวกเจอราร์ดเสมอ

คุณปู่โทนี่เป็นพ่อของพ่อผม ฝ่ายแม่มีคุณตาซิดนีย์ ซัลลิแวน คุณตากลายมาเป็นคนพิการในตอนสูงวัย ท่านจึงมาอยู่ด้วยกันกับครอบครัวเราอยู่ถึงแปดปี ตลอดช่วงชีวิตวัยเรียนของผม ตอนซิดนี่ย์กลับจากโรงพยาบาลหลังจากเข้ารักษาตัวเมื่อมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบครั้งแรก มีจดหมายจากทางการส่งมาถึงเรา เนื้อหาในจดหมายโหดร้ายมาก มันมีเนื้อความสรุปว่าถ้าไม่มีใครในครอบครัวของเราดูแลคุณตาตลอดเวลาได้ ทางสภาเมืองก็จะให้คุณตาไปอยู่บ้านสงเคราะห์ คุณยายของผมอยู่ที่ถนนมอสครอฟท์ ห่างไปอีกสองช่วงตึก คุณยายไม่สามารถรับภาระดูแลซิดนีย์ได้โดยลำพัง ถ้าคุณยายออกไปข้างนอกคุณตาก็จะต้องอยู่บ้านคนเดียว

“คุณตาจะไม่ไปอยู่บ้านสงเคราะห์” แม่บอกพวกเราและให้คุณตาย้ายมาอยู่กับเราด้วย

เราเลยต่อห้องให้คุณตาใหม่เป็นห้องชุดที่มีครบทั้งห้องน้ำและพร้อมอุปกรณ์ช่วยเหลือ คุณตามีห้องนั่งเล่นพื้นที่กว้างกว่าห้องนอนตัวเองสองเท่าด้วย ปกติซิดนีย์จะอยู่แต่ในห้อง นานๆ ทีจึงจะเดินออกมาดูทีวีกับเรา แต่โดยส่วนใหญ่คุณตาจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องด้านหลังคนเดียว

คุณตามีอาการเส้นเลือดในสมองตีบอยู่ถึงสี่ครั้ง ผมเกลียดผลต่อเนื่องของความเจ็บป่วยที่เกิดกับท่าน มันทำให้คุณตาเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว พอลกับผมยังพอคุยกับคุณตาได้หลังท่านป่วยครั้งแรก แต่การสื่อสารก็ยากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากครั้งต่อๆ มา อาการที่ทรุดลงเรื่อยๆ ของคุณตาทำให้พวกเราเจ็บปวด คุณตาเคยเป็นคนน่ารักก่อนจะล้มเจ็บ ผมอยากจะจดจำท่านในภาพที่ท่านยังแข็งแรงดี ยิ้มง่ายและชอบคุย

ตอนที่ท่านป่วยหนักถ้าแม่เห็นผมกับพอลไม่ได้เข้าไปหาคุณตานานไปแล้ว แม่ก็จะกระตุ้นเราทันที “เอาน้ำชาไปให้คุณตาเสียสิ” แม่มักจะสั่ง “ไปนั่งดื่มน้ำชากับท่าน”

คุณตาดีกับผมและพอลมาก ท่านคอยดูให้แน่ใจเสมอว่าผมกับพอลมีรองเท้าและชุดกีฬาที่อยากได้ “เอาเงินนี่ให้เด็กๆ นะ พวกแกจะได้มีเสื้อผ้าเครื่องใช้เล่นฟุตบอลให้ครบ” คุณตามักจะยัดเยียดเงินให้แม่เป็นประจำ

“ไม่ค่ะ” แม่ปฏิเสธเสมอ

“เอาไปเถอะ” คุณตายืนยันทุกครั้ง เอาเงินวางไว้บนโต๊ะให้แม่ คุณตาเป็นคนใจกว้างที่สุด “ดูให้พวกหลานๆ มีทุกอย่างครบนะ” ท่านสั่งแม่เสมอ

คุณตาไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่มีเงินชดเชยการเจ็บป่วยกับเงินบำนาญ คุณตาทำงานหนักมาตลอดชีวิตทั้งในกองทัพและทำงานบนเรือ

ในการดูแลความเป็นอยู่ให้คุณตาแม่ได้เงินตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง พอลกับผมเห็นได้ถึงความเอาใจใส่ที่คุณแม่มีให้กับตาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่แน่นแฟ้น แต่คุณตาซิดนีย์เป็นเครื่องยึดให้เราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น

ผมกับพอลเคยต้องช่วยประหยัดเมื่อพ่อเลือกทำแค่งานพาร์ทไทม์ พ่อจะทำงานประจำก็ได้แต่ก็ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ซึ่งท่านไม่อยากทำเพราะต้องการอยู่ใกล้ๆ บ้านเพื่อที่จะคอยเป็นหูเป็นตาดูแลคุณตาเวลาที่แม่ต้องออกไปซื้อของหรือไปรับผมกับพอลกลับจากโรงเรียน พ่อเป็นคนงาน เพื่อนของพ่อที่ผับมักจะหางานกับคนต่างชาติมาให้พ่อ บางครั้งเมื่อมีงานช่วงสั้นๆ ตามแต่จะมีคนจ้างในลิเวอร์พูลพ่อก็จะได้ไปทำงานที่โน่นที่นี่กับเพื่อนเป็นพักๆ
พอลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมตลอดมาและจะเป็นตลอดไป แม้ว่าเรื่องที่เขามีห้องนอนใหญ่กว่าจะทำผมไม่ชอบใจ ห้องผมเล็กสุดๆ จนแม้แต่คนตัวจิ๋วจะเหยียดแขนเหวี่ยงแมวตัวเล็กๆ ไปมาในห้องก็ยังทำไม่ได้ ห้องพอลมีฮีทเตอร์ มีเตียงนอนใหญ่ที่สุด ล้วนแล้วแต่ของดีๆ แต่ผมไม่สนหรอก พอลคือฮีโร่ของผม ผมแค่อยากเตร็ดเตร่กับเขาและพวก

“ไปไกลๆ เลยไป “ พอลคอยไล่ผม “กลับบ้านไป”

เขาไม่ว่าที่ผมไปเตะบอลด้วย แต่ไม่ชอบให้ผมไปยุ่งวุ่นวายเวลาพวกเขากับเพื่อนไปเที่ยวเล่นหรือคุยกัน บางครั้งผมกับพอลทะเลาะกันรุนแรง เราลงไม้ลงมือกันไม่มียั้ง

“ฉันเกลียดพี่” ผมตะโกนใส่หน้าพอล ยืนเอามือลูบหน้าหรือไม่ก็ซี่โครงที่เจ็บเพราะถูกพอลต่อยเอา “ฉันอยากฆ่าพี่ให้ตาย”

แต่หลังจากนั้นโทสะของผมก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเหลือแต่ความกังวลว่าพอลจะโกรธเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ยอมให้ผมไปเล่นบอลกับเขาและเพื่อนๆ อีก

ราวชั่วโมงหลังจากการวิวาทพอลก็โผล่เข้ามา “สตีวี่อยากไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ด้วยกันไหม?”

“ได้เลย” ผมตอบอย่างลิงโลด ปลาบปลื้มเป็นที่สุดที่ได้กลับเข้าไปในโลกของพี่ชายอีกครั้ง

จากนั้นเรานั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ด้วยกันเหมือนไม่เคยลงไม้ลงมือกันมาก่อน ถ้าเราทะเลาะกันเราก็จะคืนดีกันเร็วมากเสมอ ผมชื่นชมพี่ชายของผม ถ้าได้เจอพอลตอนนี้คุณจะเห็นเลยว่าเขาดูเด็กกว่าผมเสียอีก ถ้าไม่รู้จักกันคงไม่มีใครทายว่าเขาอายุมากกว่าผมแน่ แปลกดี

พอลเล่นบอลได้ดีเหมือนกัน เพียงแต่เขายังขาดความแข็งกร้าวซึ่งเป็นหนึ่งในบุคลิกที่ผมไม่เคยถูกมองว่าขาด พอลไม่เคยฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเล่นบอลเพื่อจะได้สนุกกับเพื่อนเท่านั้น

“ตั้งใจมากกว่านี้สิ” พ่อเคยตะโกนใส่พอล

“มันหนาวนี่นา” เขาตอบ “ผมอยากอยู่บ้านมากกว่า”

พอลไม่ได้เป็นประเภทอยู่เพื่อฟุตบอล แต่ถ้าลองจับเขาเข้าโรงยิมเล่นเกมฟุตบอลห้าคนเขาก็ทำได้ดี พี่ชายของผมรู้แทคติคและสามารถเป็นนักเตะที่ดีได้ ทุกวันนี้หลังเกมการแข่งขันผมมีโอกาสได้คุยกับพอลบ่อยๆ และเราคุยกันสนุกรู้ใจ คุยถูกคอกันเป็นอย่างดี

เพื่อนของครอบครัวและพวกญาติๆ บอกผมเสมอว่าพ่อของผมเคยเป็นนักเตะที่ดีคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน

พ่อไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “ลูกก็ได้เชื้อนักบอลมาจากพ่อนี่ล่ะสตีเว่น” พ่อหัวเราะใหญ่

น่าเสียดาย ตอนเด็กๆ เขาเล่นให้กับทีมแอสโทรเทิร์ฟและได้รับบาดเจ็บที่เข่า ทำให้หมดโอกาสที่จะได้เล่นฟุตบอลอาชีพ โทนี่พี่ชายพ่อเคยเล่นได้ดีกับทีมฮายตัน บอยส์ ตอนอายุ 10-15 ปี หลายคนคิดว่าเขาจะได้เล่นอาชีพ ฟุตบอลฝังรากลึกในครอบครัวของผม

ผมมีญาติและลูกพี่ลูกน้องที่มักมาที่ไอร์ออนไซด์เพื่อเกมฟุตบอลเป็นประจำ ญาติคนหนึ่ง แอนโธนี่ เจอราร์ด เล่นได้ดีจนครั้งหนึ่งเคยได้รับสัญญาอาชีพเล่นให้เอฟเวอร์ตัน หลังจากนั้นเขาก็ย้ายจากเอฟเวอร์ตันไปเล่นกับวอลซอลล์จนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นฟุตบอลซันเดย์ ลีกในท้องถิ่นนี้ก็มีญาติพี่น้องของผมร่วมเล่นอยู่ด้วยไม่น้อย
ความรักต่อฟุตบอลฝังแน่นอยู่ในครอบครัวของผมเหมือนรอยสลักบนพื้นหิน แอนฟิลด์และกูดิสันเป็นสถานที่หย่อนใจประจำ ลองเดินเข้าไปดูบ้านญาติผมที่ไหนๆ ก็ตามก็จะมีคนเปิดทีวีดูเกมฟุตบอลอยู่เรื่อย เราชอบนั่งเฮกันหน้าทีวี ดื่มไปด้วย นั่งดูเกม น่าตื่นเต้นเสมอ  ทุกคืนวันเสาร์เป็นวันที่พ่อจะออกไปหย่อนใจที่ผับ แต่พ่อก็จะกลับมาดูรายการ แมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ทางบีบีซีเสมอ

เราตั้งนาฬิกาโดยดูจากพ่อได้เลย ถ้าออกไปข้างนอกพ่อก็จะกลับเข้าบ้านมาตอนรายการแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ เริ่มฉายทุกครั้ง มันเป็นเหมือนพิธีกรรมประจำวันเสาร์ที่พ่อ ผมและพอลนั่งเบียดกันบนโซฟาดูทีวี ผมตื่นเต้นเมื่อรายการเริ่มฉาย เราทุกคนร้องเพลงตามตอนเปิดรายการ ครอบครัวเจอราร์ดไม่เคยพลาดรายการแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ไม่เคยสักครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดประจำสัปดาห์

ที่บ้านของผมฟุตบอลเป็นใหญ่ รายการอย่างโคโรเนชั่น สตรีท  หรือ อีสเทนเดอร์ ไม่เคยโผล่มาบนจอได้ถ้าเวลาชนกับฟุตบอล พ่อไม่เคยยอมเรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าแม่เกิดอยากดูละครตอนแข่งฟุตบอลล่ะก็แทบจะเกิดการฆาตกรรมขึ้นในบ้านผมเชียว

บางครั้งบางคราวพ่อจะตบรางวัลผมกับพอลด้วยการพาไปดูถ่ายทอดสดเกมฟุตบอลวันอาทิตย์ในเมืองผ่านจอทีวีขนาดใหญ่ และฆ่าเวลาด้วยการพาไปเล่นปาลูกดอก เราได้ดื่มโค้ก เล่นเกมปาเป้า และดูเกมฟุตบอล ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ จนกระทั่งถึงหกโมงเย็นเวลาแห่งความสนุกก็จบลง เรามุ่งหน้ากลับบ้านด้วยหัวใจหนักอึ้ง  ช่วงเวลาของโรงเรียนที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในเช้าวันรุ่งขึ้นดูไม่ต่างจากเมฆหนาทึบที่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมในวันที่อากาศดี

จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงเกลียดคืนวันอาทิตย์ มันยากจะสลัดความทรงจำแย่ๆ จากการต้องเตรียมตัวให้พร้อมไปโรงเรียนในตอนเช้าวันจันทร์ให้หมดไป  มันคือการลงฑัณท์ที่มาพังทลายช่วงเวลาสุดท้ายแห่งสุดสัปดาห์แสนสุข ในปฏิทินของคนทั่วไปสุดสัปดาห์มีเวลาสองวัน แต่ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนไอร์ออนไซด์แห่งนี้สุดสัปดาห์มีเวลาแค่วันครึ่งเท่านั้น

แม่ยื่นคำขาดว่าเราต้องกลับถึงบ้านให้ทันหกโมงเย็นกลับมาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ เพื่อเตรียมพร้อมไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ เมื่อเรารีบตะลีตะลานกลับมาบ้านก็จะพบชุดนักเรียนแขวนรอเราอยู่ที่โต๊ะรีดผ้าเรียบร้อยแล้ว ชุดนักเรียนสะอาดเอี่ยมอ่องเรียบแปล้ไร้ที่ติจ้องมองเราอยู่ แค่เห็นชุดนักเรียนก็ทำเอาผมเซ็งแล้ว มันชวนให้นึกถึงชุดนักโทษหลังจากจบสิ้นวันแห่งเสรีภาพตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เกลียดโรงเรียน แต่ผมรักช่วงเวลาสุดสัปดาห์ที่ได้ตะลอนๆ ไปทั่วย่านบลูเบลล์

แม่จริงจังกับเรื่องโรงเรียนมากกว่าพอลกับผมมาก ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แม่ต้องแน่ใจเสมอว่าชุดนักเรียนของลูกๆ ไม่มีที่ติ แม่คอยขัดรองเท้านักเรียนของเราให้มันวับจนแทบส่องหน้าได้ คุณแม่ที่น่าสงสาร รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าตอนออกจากบ้านชุดนักเรียนจะเนี๊ยบแค่ไหนตอนกลับถึงบ้านชุดของพวกเราก็จะเละเทะเสมอ รองเท้าก็ด้วยทุกวันมันจะกลายเป็นก้อนโคลน งานของแม่ไม่ต่างจากเข็นครกขึ้นภูเขา

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 1

Posted in Uncategorized on October 31, 2008 by bertbert

นี่คือส่วนหนึ่งของ เนื้อหาในหนังสือ GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY ที่พี่น้อง หงส์แดงถามถึง ต้องขอขอบคุณเวปพันทิพย์ด้วยนะครับสำหรับข้อมูลที่ให้พวกเราได้อ่านเรื่องดีๆ


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือในเชิงชีวประวัติของสตีเฟ่น เจอร์ราด กัปตันทีมลิเวอร์พูล เขียนถึงเรื่องราวตั้งแต่ในวัยเด็กของสเกาเซอร์ผู้ที่เกิดในครอบครัวที่ติดตามเชียร์ทีมลิเวอร์พูลมาตลอด เด็กชายผู้นี้ก็ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในทีมลิเวอร์พูลชุดเยาวชน ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในทีมชุดใหญ่ และกลายมาเป็นกัปตันทีมลิเวอรพูลในที่สุด

หนังสือเล่มนี้มีมุมมองของเจอร์ราดต่อเหตการณ์ที่ประสบพบมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนในครอบครัว, อุบัติเหตุที่เกือบจะหยุดอนาคตของเจอร์ราดไว้ตั้งแต่ยังเด็กๆ, การก้าวเข้าสู่ทีมเยาวชนของลิเวอร์พูลภายใต้การดูแลของสตีฟ ไฮเวย์,  อาการบาดเจ็บเรื้อรัง, การถูกเรียกตัวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่, การถูกเรียกตัวเข้าสู่ทีมชาติอังกฤษ, การคว้า 3 แชมป์ในปี 2001, มุมมองต่อผู้จัดการทีมและบรรดาเพื่อนร่วมทีมในยุคของ รอยอีแวนส์,  อุลลิเย่ร์ และ ราฟา รวมทั้งในทีมชาติอังกฤษยุค คีแกน และ อีริคส์สัน, เหตุการณ์ช่วงรอยต่อชีวิตของเจอร์ราดกับเกือบจะต้องย้ายทีมทั้ง 2 ครั้ง, การคว้าถ้วย UCL ในปี 2005 และ FA cup ในปี 2006,  ความผิดหวังต่อผลงานของทีมชาติอังกฤษ, รวมถึงสีสันชีวิตรักของเจอร์ราดและอเล็กซ์ ที่อ่านแล้วจะต้องอมยิ้ม สุดท้าย ขอขอบคุณ คุณ jigij คุณ yumesan  รวมถึงคนอื่นๆที่มีส่วนช่วยงานนี้อีกครั้ง -/\-
คำนิยม

หนังสือเล่มนี้แด่ผู้คนที่ผลักดันให้โลกของผมหมุนต่อไปได้ทุกเมื่อเชื่อวัน : คู่ใจที่สุดแสนวิเศษของผม อเล็กซ์ และลูกสาวสุดที่รักทั้งสองคน ลิลลี่-เอลล่า และเล็กซี่ ; พอลและจูลี่ คุณพ่อคุณแม่ที่รักยิ่งผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างผมเสมอมา และพอลพี่ชายที่ผมรักและบูชา ; สตรวน มาร์แชล์ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีและเอเจนต์ที่ผมไว้วางใจ และแคทรีน เทย์เลอร์ สุภาพสตรีที่ยอดยอมผู้ช่วยของเขา

ความซาบซึ้งต่อทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรลิเวอร์พูลจะคงอยู่ในใจของผมไปตลอดกาล กับการที่พวกเขาได้มอบโอกาสให้ผมได้ใช้ชีวิตตามเส้นทางแห่งความฝัน ผมรู้ดีว่ากับสโมสรแห่งนี้ ผมจะไม่มีวันเดินเดียวดาย

ขอขอบคุณ เฮนรี่ วินเทอร์ จากหนังสือพิมพ์ เดลี่ เทเลกราฟ และพอล จอยซ์ จากเดลี่ เอ็กซ์เพรส ที่รับฟังและบันทึกเรื่องราวของผมอย่างตรงไปตรงมา ขอบคุณทีมงานที่ยอดเยี่ยมของทรานส์เวิลด์ภายใต้การนำของ ดั๊ก ยัง บรรณาธิการและเอ็มม่า มุสเกรฟ ผู้ช่วย และขอขอบคุณสมาชิกทุกท่านในทีมทรานส์เวิลด์ : บิล สก็อตต์-เคอร์ ผู้จัดพิมพ์ ; แดเนี่ยล บัลลาโด-โลเปซ บรรณาธิการบทความ ; อลิสัน บาร์โรว์ ผู้โฆษณาเผยแพร่ และสตีฟ มัลคาเฮย์ ผู้ออกแบบปก และขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับ เก็ด รี และ เดฟ เบลล์ สำหรับสถิติของผมกับลิเวอร์พูลและทีมชาติอังกฤษ
คำอุทิศ
แด่เพื่อนผู้จากไป

เมื่อขับรถเข้าไปในแอนฟิลด์ขณะขับผ่านประตูแชงค์ลี่ย์ ผมชะลอความเร็วของรถจนเกือบกลายเป็นคลานเหมือนที่เคยทำทุกครั้ง  ผมกวาดสายตาไล่มองไปที่อนุสรณ์ฮิลส์โบโร่ ผ้าพันคอจำนวนมากมายจากแฟนบอลทั่วสารทิศที่มาเยือนสนามวางไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความเคารพต่อผู้วายชนม์ รายล้อมไปด้วยพวงหรีดที่ครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้ซึ่งหยาดน้ำตาไม่เคยเหือดแห้งไปจากใบหน้าวางเอาไว้ ผมเห็นคบไฟที่จุดไว้ตลอดเวลาเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้โลกระลึกถึงแฟนบอล 96 ชีวิต ที่แม้จะจากเราไปแต่จะไม่มีวันถูกลืมเลือน

ตอนที่รถผ่านอนุสรณ์สถานในระยะใกล้ ผมอ่านรายชื่อบรรดาแฟนบอลผู้ล้มลง ณ อัฒจันท์เลพพิง เลน และไม่มีวันลุกขึ้นมาอีกตลอดกาล สายตาของผมสะดุดอยู่ที่ชื่อหนึ่ง จอน-พอล กิลลูเลย์ (Jon-Paul Gilhooley) : อายุ 10 ปี แฟนบอลที่อายุน้อยที่สุดที่เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น หนึ่งในแฟนบอลที่เสียชีวิตขณะติดตามทีมรัก เด็กชายผู้ซึ่งถูกพรากจากโลกนี้ไปทั้งที่เพิ่งเห็นโลกมาไม่นาน ถูกบดขยี้บนอัฒจันท์ที่ไม่มีพื้นที่มากพอจะรองรับแฟนบอลจำนวนมหาศาลในเกมวันนั้น ผมรู้จักจอน-พอล เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ความรู้สึกปั่นป่วนจนขนลุกซู่ ผมทำมือเป็นเครื่องหมายไม้กางเขนก่อนจะขับรถผ่านจุดนั้นมา

ผมจอดรถลงเดินก้าวเข้าไปในแอนฟิลด์แต่ในใจยังคงนึกไปถึงจอน-พอล,พ่อแม่ของเขา และความโชคดีที่มีในชีวิตผม ตอนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ที่พรากจอน-พอลไปจากเรา ผมอายุยังไม่เต็ม 9 ขวบดี เราเรียนต่างชั้นกันและเขาอายุมากกว่าผม แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีเหมือนกันคือความหลงใหลในเกมฟุตบอล

จอน-พอล บูชาลิเวอร์พูล เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ผมมีทุกๆ ครั้งที่สวมชุดยูนิฟอร์มสีแดงลงเล่นในสนาม ตอนเด็กๆ ผมกับเขามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง อาศัยอยู่ละแวกบ้านเดียวกัน ชอบฟุตบอลเหมือนกัน จอน-พอลมักจะมาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนเด็กๆ ที่ถนนแถวหน้าบ้านเก่าผมที่ฮายตัน เขาแสนจะภูมิใจทุกครั้งที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูลมาเตะบอล สโมสรลิเวอร์พูลเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเขา
เหมือนผู้คนจำนวนมากในแถบเมอร์ซีย์ไซด์ วันเสาร์ที่ 15 กันยายน ปี 1989 ยังคงเป็นรอยแผลเป็นในจิตใจของผมเสมอมา ลิเวอร์พูลเปรียบเหมือนศาสนาในบ้านที่ผมถูกเลี้ยงดูขึ้นมา ดังนั้นเมื่อเราได้ข่าวว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในเกมเอฟเอ คัพ ทั้งผม, พอล-คุณพ่อของผม, จูลี่-คุณแม่ และพี่ชายคนโตพอล ก็มานั่งจ้องมองภาพเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อในข่าวโทรทัศน์ตาแทบไม่กระพริบ 

เราฟังข่าว ตัวสั่นไปด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมแทบไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นในบ้าน ในหัวของเราได้แต่คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น, เพราะอะไร,มีใครอยู่ที่นั่นบ้าง คืนนั้นทั้งคืนเราตกอยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล ได้แต่คิดว่า “จะมีใครที่เรารู้จักอยู่ในเหตุการณ์นั้นไหม ขออย่าให้มีเลย” 

หลังจากนั้นผมก็เข้านอน ผมปีนขึ้นบันไดกระโจนขึ้นเตียงนอน พยายามนอนหลับเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน แต่แย่เหลือเกิน ภาพเหตุการณ์ที่น่าหวาดหวั่นจากฮิลส์โบโร่ยังคงติดตา ผมนอนลืมตาโพลงเกือบตลอดคืนจนผล็อยหลับไปก่อนรุ่งสาง

รุ่งเช้าราว 8 โมงครึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้าน ผมถลาลงจากชั้นบนวิ่งไปเปิดประตู คุณปู่โทนี่ยืนอยู่ตรงนั้น คุณปู่เดินเข้ามาในห้องโถงไม่พูดอะไรสักคำ คนอื่นๆ ในครอบครัวเริ่มตามมาสบทบ พวกเรามารวมตัวกันที่ห้องโถงรอฟังคำพูดที่จะออกจากปากคุณปู่ เราต่างรู้ดีว่าต้องมีเรื่องร้ายแรง บ้านคุณปู่อยู่ห่างจากบ้านเราไปอีกถนนหนึ่งและไม่ใช่เรื่องปกติที่คุณปู่จะแวะมาตอนเช้าวันอาทิตย์แบบนี้ ความรู้สึกบนใบหน้าของปู่แสดงชัดว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เราได้แต่ร้องในใจ “ต้องมีคนของครอบครัวเราในฮิลส์โบโร่แน่ๆ”

“ฉันมีข่าวร้าย” คุณปู่พูดในที่สุด “จอน-พอล จากเราไปแล้ว”

น้ำตา โทสะและความสับสนถาโถมเข้าใส่เราทุกคน เราไม่รู้เลยว่าจอน-พอล ไปชมเกมด้วย เขาไปดูเกมที่แอนฟิลด์เสมอ แต่เกมเอฟเอ คัพ เป็นโอกาสที่พิเศษมาก คุณปู่โทนี่เล่าว่าแจ๊คกี้คุณแม่ของจอน-พอล หาซื้อตั๋วให้จนได้ แจ๊คกี้รู้ดีว่าการได้เข้าไปให้กำลังใจฮีโร่ของเขาในเกมสุดพิเศษนี้มีความหมายกับจอน-พอล มากแค่ไหน อีกอย่างเกมก็จัดขึ้นที่เชฟฟิลด์ซึ่งไม่ไกลมากนัก และจอน-พอลก็อยากไปดูมากเหลือเกิน

จอน-พอลเดินทางไปชมเกมกับเพื่อนของครอบครัว พวกเขาไปรวมตัวกันที่ลิเวอร์พูลก่อนในตอนเช้าวันเสาร์ ทุกคนต่างตื่นเต้นก่อนเดินทางไปชมเกม แต่จอน-พอลไม่ได้กลับมาบ้าน เขาไม่ได้กลับมาจากเกมนั้น คำพูดนี้หลอกหลอนในใจผมมาตลอด

เป็นเพราะขั้นตอนในการชันสูตรทำให้พิธีศพของจอน-พอล จัดขึ้นหลังเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่นานพอสมควร      ผมไม่ได้ไปร่วมพิธีศพเพราะต้องไปโรงเรียน หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมได้รับ แต่ผมเชื่อว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมไปร่วมงาน พ่อแม่ต้องการจะปกป้องผม ผมเป็นแค่เด็กชายเล็กๆ ที่ต้องอยู่กับความคิดที่ว่าลูกพี่ลูกน้องของผมคนหนึ่งต้องตายไปในการเชียร์ทีมที่เราทั้งสองต่างรักและบูชา
ในช่วงเวลานั้นผมเพิ่งเข้าเรียนในโรงเรียนฟุตบอลของลิเวอร์พูล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราต้องหยุดเรียนไปพักใหญ่ แต่ทันทีที่เรากลับไปเรียนอีกครั้ง สีหน้าตื่นตระหนกที่ผมได้เห็นบนใบหน้าบรรดาโค้ชทำให้ผมตระหนักว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสโมสรและเมืองทั้งเมือง ในครอบครัวของผมเรายังคงคุยกันถึงเรื่องราวของฮิลส์โบโร่อยู่นานหลายเดือนหลังเกิดเหตุการณ์ จนถึงทุกวันนี้ 17 ปีให้หลัง บางครั้งเรายังคงรู้สึกและเจ็บปวดเมื่อหยิบยกเรื่องราวจากเหตุการณ์นี้ขึ้นมาคุยกัน

เมื่อไรก็ตามที่ผมพบพ่อแม่ของจอน-พอลเมื่อผมซ้อมบอลอยู่ที่อะคาเดมี่ มันเหมือนเป็นแรงกระตุ้นพิเศษ ทำให้ผมตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ ก่อนหน้าที่ผมจะได้ลงเล่นเกมแรกฐานะทีมชุดใหญ่ ผมได้พบพวกเขาซึ่งบอกกับผมว่า “จอน-พอล จะต้องภูมิใจในตัวเธอมาก”

ตลอดเกมนั้นผมรู้สึกถึงจอน-พอล ที่เฝ้ามองลงมาจากเบื้องบน ดีใจที่ผมทำฝันของเราทั้งคู่ให้เป็นจริงจนได้ ทุกๆ ครั้งที่ทีมเรามีชัย ผมมักจะนึงถึงจอน-พอลอยู่เสมอ คิดอยู่ว่าเขาจะตื่นเต้นแค่ไหนที่ลิเวอร์พูลชนะ ทุกวันที่คิดว่าจอน-พอลไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วทำให้ผมใจสลาย

สโมสรดูแลครอบครัวของจอน-พอล เช่นเดียวกับครอบครัวของผู้สูญเสียคนอื่นเป็นอย่างดีเสมอมา ลิเวอร์พูลนั้นเป็นสโมสรที่มากด้วยน้ำใจต่อแฟนบอลและหยั่งรากลึกไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของชุมชน ผมจำได้ถึงครั้งหนึงที่แจ๊คกี้เล่าให้คุณพ่อผมฟังว่าสโมสรดีกับพวกเธอเพียงไร

ทุกๆ ปีในวันครบรอบเหตุโศกนาฏกรรม สโมสรจะจัดพิธีไว้อาลัยขึ้น เป็นธรรมเนียมที่นักเตะของสโมสรจะไปร่วมงานพิธีในวันครบรอบทุกครั้ง ทีมต้องการที่จะแสดงความเคารพต่อแฟนบอลทั้ง 96 ราย ที่เป็นตัวแทนของความรักอันสุดซึ้งที่แฟนบอลมีให้สโมสร

ในงานรำลึกปี 2005 ผมเป็นไข้เล็กน้อยแต่ผมก็ไปร่วมงานเหมือนทุกปี ไม่มีทางที่ผมจะพลาดงานนี้เด็ดขาด งานรำลึกผู้สูญเสียที่ฮิลส์โบโร่นี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม

ในวันงานผู้เล่นในทีมไปรวมตัวกันที่สนามซ้อมในเมลวู้ดก่อนจะขึ้นรถบัสของทีมเดินทางไปแอนฟิลด์ร่วมกัน ระหว่างเดินทางผมคุยกับนักเตะต่างชาติที่ยังไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของพิธีการนี้ “เราจะไปที่ไหนกัน กำลังจะไปทำอะไรกัน” นี่เป็นคำถามที่นักเตะบางคนอาจยังสงสัย พวกนักเตะต่างชาติอาจเคยได้ฟังเรื่องฮิลส์โบโร่มาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

เรื่องราวที่ผมเล่าให้เพื่อนร่วมทีมฟังทำเอาพวกเขานิ่งอึ้งด้วยความสะเทือนใจ ผมอธิบายให้พวกเขาฟังถึงความโกรธในหมู่ชาวลิเวอร์พูลที่มีต่อเรื่องราวที่มีการเขียนขึ้นมาเผยแพร่หลังจากเหตุการณ์นั้น และเหตุผลว่าทำไมศัตรูตัวร้ายที่สุด เดอะ ซัน ถึงไม่เคยมีให้เห็นที่เมลวู้ด, แอนฟิลด์ หรือที่บ้านของผม แฟนบอลลิเวอร์พูลต่อต้านเดอะ ซัน กันทุกคน ผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลคนหนึ่งผมเห็นด้วยกับแนวทางของคนอื่นๆ ผมเองสูญเสียบุคคลในครอบครัวไปในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ด้วย ไม่มีวันที่ผมจะแตะหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน เด็ดขาด

ด้วยความเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดพวกผู้เล่นต่างชาติต่างให้ความเคารพต่อผู้สูญเสีย ผมไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เล่นคนไหนไม่เต็มใจจะไปร่วมงานไว้อาลัยในวันครบรอบ ความรู้สึกแรงกล้านี้อบอวลอยู่ทั่วสโมสร แม้แต่นักเตะใหม่ก็มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสโมสรในเรื่องนี้
การเดินทางไปร่วมงานเป็นเรื่องแปลกสำหรับผม ผมเดินทางไปงานร่วมกับเพื่อนนักเตะแต่เมื่อไปถึงอนุสรณ์สถานได้พบครอบครัวของผมที่นั่น ความทรงจำเกี่ยวกับจอน-พอล ก็หลั่งไหลกลับมาท่วมท้นอีกครั้ง  สำหรับผมการไปร่วมงานรำลึกผู้สูญเสียไม่ใช่หน้าที่จากความเป็นนักเตะอาชีพของสโมสร ผมไปที่นั่นในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง ผมยืนอยู่ในพิธี ก้มศีรษะไว้อาลัยผู้วายชนม์ทั้งในฐานะกัปตันทีมและญาติผู้โศกาอาดูร

ในวันครบรอบสโมสรจะเปิดอัฒจันท์เดอะ ค็อป สถานที่ซึ่งจอน-พอล และแฟนบอลคนอื่นๆ มักจะใช้เป็นแหล่งชมเกมลิเวอร์พูลตลอดทุกบ่ายวันเสาร์ เปิดเอาไว้ตลอดงาน พิธีจัดขึ้นราว 1-2 ชั่วโมง มีการร้องเพลงสวด, สวดมนต์ และไว้อาลัยแก่ 96 ชีวิตที่สูญเสียในเหตุการณ์นั้น

ในงานรำลึกที่จัดขึ้นในปี 2006 ผมต้องอ่านคำไว้อาลัยซึ่งเป็นสิ่งที่สะเทือนใจสำหรับผมมาก ในงานผมได้พูดคุยกับพอล แฮริสัน อดีตผู้รักษาประตูสำรองคนหนึ่งของลิเวอร์พูลด้วย พอลเองก็สูญเสียพ่อของเขาไปในเหตุการณ์ เป็นเรื่องน่ากลัวเหลือเกิน ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าต้องสูญเสียพ่อแม่ไป

ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันและเป็นกำลังใจให้กันเสมอ เหมือนที่ลิเวอร์พูล คำว่า “คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย” เพลงประจำสโมสรไม่ใช่แค่บทเพลงที่เรียงร้อยด้วยเนื้อหากินใจกับท่วงทำนองไพเราะเท่านั้น แต่มันเป็นเหมือนสัจจะวาจาระหว่างแฟนบอลลิเวอร์พูล เรายืนหยัดเคียงข้างกันและกันเสมอทั้งแม้ในยามสุขหรือทุกข์ 

มีผู้คนจำนวนหนึ่งร่วมกันก่อตั้ง “กลุ่มครอบครัวฮิลส์โบโร่ – Hillsborough Families’ Group”  ซึ่งพวกเขาเหล่านี้สมควรได้รับการยกย่องจากงานที่พวกเขาทำในการรณรงค์เรียกร้องให้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ คนเหล่านี้จะยังคงเรียกร้องความยุติธรรมต่อไปจนกว่าความจริงจะปรากฏ เพื่อครอบครัวอีกหลายครอบครัวในลิเวอร์พูลที่โต๊ะอาหารของพวกเขาต้องว่างลงไปหนึ่งที่นั่ง ยังมีห้องนอนชั้นบนที่ปิดตาย ครอบครัวที่สมควรได้รับการชดใช้ในความสูญเสีย

โดยส่วนตัวผมสนับสนุนการรณรงค์นี้เต็มที่เพราะผมเองก็ต้องการชดเชยความรู้สึกสูญเสียที่ต้องเผชิญ เราทุกคนควรได้รับรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ฮิลส์โบโร่ ใครที่ต้องรับผิดชอบ ผู้มีอำนาจที่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ 96 ชีวิตตายต้องรับการลงโทษ ญาติของผมเสียชีวิตลงที่ฮิลส์โบโร่และเขายังไม่ได้รับการชดใช้

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมอบอุ่นร่างกายก่อนเกมอยู่ในสนามแอนฟิลด์และมองขึ้นไปเห็นป้าย “ทวงความยุติธรรมแก่ 96 ชีวิต – Justice for the 96″ แขวนอยู่

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อความนี้อย่างจริงใจ รัฐบาลควรต้องดำเนินการสอบสวน เพื่อที่ว่าครอบครัวของผู้สูญเสียทั้ง 96 ชีวิต ที่ยังคงอยู่กับความโศกเศร้าจะได้รับความยุติธรรมที่พวกเขาสมควรได้รับ เพื่อจะได้ไปบอกสมาชิกในครอบครัวที่หลับอยู่ตลอดกาลในสุสานได้รับรู้ว่าความสูญเสียของพวกเขาจากเหตุโศกนาฏกรรมที่น่าจะหลีกเลี่ยงได้นั้น ได้รับการชดใช้แล้ว

เหตุการณ์แบบฮิลส์โบโร่ไม่ควรเกิดขึ้นและยิ่งไม่ควรเกิดซ้ำอีก ไม่ควรมีใครต้องสูญเสียชีวิตหรือญาติพี่น้องในเกมการแข่งขันฟุตบอล ทุกครั้งที่เห็นรอยสลักชื่อจอน-พอลบนป้ายหินอ่อนเย็นเยียบหน้าประตูแชงค์ลี่ย์ เกท
ผมยังคงรู้สึกเศร้าใจและโกรธแค้น ผมไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ในการเล่นฟุตบอลของผม ผมเล่นเพื่อจอน-พอล

***** จบบทนำ *****

ราฟา กับ จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้าย Part 3

Posted in Uncategorized on October 30, 2008 by bertbert

 

 

ผ่านพ้นไป 2 ตอนแล้วสำหรับ ไตรภาคหงส์แดง ตอน ราฟา กับ จิ๊กซอร์ชิ้นสุดท้าย มาพบกันครั้งนี้ก็จะเป็นตอนสุดท้ายกับไตรภาคนี้แล้ว ซึ่งใน 2 ตอนที่ผ่านมาเราก็ได้กล่าวถึง นักเตะ หงส์แดงหลายๆคนในอดีตที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็น จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้ายในการพาทีมคว้า แชมป์ ลีกสูงสุด เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 1990
ซึ่งนักเตะคนสุดท้ายที่ได้รับการคาดหมาย และ เหล่าสาวก หงส์แดงตั้งความหวังไว้อย่างมากมาย ว่าจะเป็น จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้ายของทีม ซึ่งชื่อ ของเขาก็คือพ่อมดอ๊อซซี่ แฮรี่ “พ็อตเต็อร์”คีเวลล์ ที่เหล่าสาวกหงส์แดง หมายมั่นปั้นมือว่า คนนี้แหละ ใช่เลย คนที่จะมาสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ที่ทิ้งช่วงมานานพอสมควรจากผลงานที่ผ่านมาของ คีเวลล์ กับ ลีดส์ยูไนเต็ด นับได้ว่ามหัศจรรย์มาก กับเด็กหนุ่มชาว ออสเตรเลีย ประเทศที่นิยม รักบี้มากกว่าฟุตบอล พรสวรรค์ ของ คีเวลล์ได้รับการพิสูจน์แล้วเป็นอย่างดี  ในวันที่ เชราร์ อุลลิเยร์ ควักเงิน 5 ล้านปอนด์กระชาก คีเวลล์มาจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด บรรดากูรูลูกหนังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้มสุดๆ เป็นการซื้อแห่งปีเลยก็ว่าได้ คีเวลล์ก้าวเข้าสู่แอนฟิลด์ทีมโปรดของเขา ดำเนินรอยตาม เคร็ก จอห์นสตัน ปีกหัวกระเซิงคนคิดค้น สตั๊ด พรีเดเตอร์อันเลื่องชื่อของ อาดิดาส


แต่ อนิจจา สิ่งที่ คีเวลล์ พกมาแอนฟิลด์ ด้วย กลับไม่ใช่ พรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็น อาการบาดเจ็บ ซึ่งไม่ใช่ อการบาดเจ็บ ธรรมดา แต่เป็นการเจ็บเรื้อรังซึ่งเป็นตัวขัดขวางฟอร์มการเล่นของคีเวลล์ และทำให้ คีเวลล์ เล่นไม่เหมือนเดิม สปีดความเร็วในการเลี้ยงบอลที่เป็นจุดเด่นกลับหดหาย คีเวลล์กลายเป็นปีกที่ไม่มีสปีดที่จะเอาชนะกองหลังคู่แข่ง
คีเวลล์ สามารถทำได้เพียงเล่นอย่างประคองตัว ไม่รวดเร็วดุดันเหมือนก่อน  ซี่งแม้ว่าจะมีฟอร์มการเล่นที่ไม่น่าประทับใจมากนัก แต่ในส่วนตัวของคีเวลล์แล้ว การย้ายมา ลิเวอร์พูล ของเขาทำให้ คีเวลล์ได้เหรียญแชมป์ถึง 2 เหรียญ และ 1 ในนั้นเป็นเหรียญ แชมป์ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก เหรียญรางวัลที่นักเตะทุกคนต้องการ และ เหรียญ เอฟเอคัพ ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ซึ่งทั้ง 2 เหรียญ ที่ คีเวลล์ได้มานั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ คีเวลล์อยู่ในสนามของนัดชิงทั้ง 2 รายการ ไม่จบครึ่งแรกเลย  นั่นก็เพราะ อาการบาดเจ็บนั่นเอง แม้ว่า ราฟา เบนิเตซจะแสดงให้เห็นว่า มั่นใจในนตัว คีเวลล์แค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด คีเวลล์ก็ไม่สามารถฝืนสังขารตัวเองได้ คีเวลล์น่าจะตระหนักกับตัวเองได้ว่า ด้วยสภาพร่างการของเขา
มันคงเป็นเรื่องยากที่จะเล่นในพรีเมียร์ชิพต่อไป  คีเวลล์ตัดสินใจย้ายไปอยู่ กาลาตาซาราย หลังจากหมดสัญญากับ ลิเวอร์พูล นั่นเป็นจุดจบของ ความหวัง จิกซอร์ตัวสุดท้ายที่ในท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่ใช่ ตามเป้าหมายของ สาวกหงส์แดงอยู่ดี มาถึงในวันนี้ เอลนินโญ่ ตอร์เรส กลายเป็นคนที่แบกรับความคาดหวังนั้น จากเหล่าสาวก หงส์แดงอยู่ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เหตุการณ์จะจบอย่างไร
แต่ทีสาวก หงส์แดงน่าจะดีใจก็คือ  ตอร์เรส ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีแรก และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของจริง ซึ่งแกนหลัก จิ๊กซอร์ ของ ราฟาได้สมบูรณ์แบบแล้ว จะเห็นได้จากประตูคือ เรน่า แกนหลักกองหลัง เจมี่ คาราเกอร์ แกนหลักแดนกลาง กัปตัน จี แกนหลักแดนหน้า เอลนินโญ่ นี่เอง เท่ากับว่าเหลือเพียง องค์ ประกอบในส่วนต่างๆรวมทั้ง แทคติกของ ราฟา แค่นั้นเองที่จะพา ลิเวอร์พูล คืนสู่บัลลังค์แชมป์ อีกครั้ง……………………………….Dr.Know

ราฟา กับ จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้าย Part 2

Posted in Uncategorized on October 30, 2008 by bertbert

หลังจากที่ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องของนักเตะที่หลายคนเรียกว่า จิ๊กซอร์ชิ้นสุดท้ายของ หงส์แดง ในอดีตที่ผ่านมาวึ่งเวลาผ่านมาเนิ่นนานถึง 18 ปีแล้วเราก็ยังไม่เจอนักเตะที่เรียกว่า จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้ายจริงๆซักที คนต่อมาที่เราจะพูดถึงก็คือ แพทริก แบร์เกอร์  ดาวเตะผมสวยจาก เช็ก ซึ่งในตอนที่ แบร์เก้อร์ย้ายเข้ามา เขา พกดีกรีของ รองแชมป์ ยุโรปมาด้วย โดย แบร์เกอร์ เป็นผู้ยิงจุดโทษให้เช็กได้ในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้แฟนๆหงส์แดงหลายๆคนรู้จักเขามากพอสมควร  

และเพียงการเปิดตัวนัดแรกของ แบร์เกอร์ ก็ได้สร้างความหลังให้กับเหล่า สาวก หงส์แดงอย่างมากมาย ด้วยฟอร์มการเปิดตัวอย่าง มหากาฬ ซัดคนเดียว 2 ประตู ในการเจอกับ เชลซีซึ่งคงไม่มีการเปิดตัวแบบไหนที่จะสวยหรูมากกว่านี้อีกแล้ว และกูรูลูกหนังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แบร์เกอร์ ได้เข้ามาสร้างความแตกต่างให้กับ ฟอร์มการเล่น ของ หงส์แดง
ในช่วงนั้นซึ่งอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของ สตีฟ แม็คมานามาน  มากเป็นพิเศษ จนทีมคู่แข่ง จับทางกันได้หมดแล้ว แบร์เกอร์ จึงเป็นความหวังใหม่ ของสาวก หงส์แดงโดยไม่จำเป็นต้องมี บิ๊กจิ๋ว เป็นหัวหน้า ช่วงนั้นกระแสของ แบร์เกอร์ มาแรงมาก ด้วยลีลาการกระชากลากเลื้อย การยิงไกลที่รุนแรงและเด็ดขาด ที่สำคัญที่สุดก็คือแบร์เกอร์ เป็นผู้นำกระแส “ที่คาดผม” ให้กลายเป็น เทรนด์ใหม่ของ วงการฟุตบอลไปในทันทีไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านเราแต่น่าเสียดายที่กระแส แบร์เกอร์ เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาอีกครั้ง
แบร์เกอร์ ไม่สามารถที่จะรักษาฟอร์มให้สม่ำเสมอได้ จนในช่วงยุคท้ายๆของ รอย อีแวนส์ แบร์เกอร์ กลายเป็นตัวสำรองที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก จนเกือบที่จะย้ายไปอยู่ โรม่า เต็มแก่ ถ้า ไม่ใช่การเข้ามาคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเยร์ แบร์เกอร์ คงจะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูลไปนานแล้ว ซึ่งการเข้ามาของ อุลลิเยร์ เหมือนเป็นการชุบชีวิตให้กับ แบร์เกอร์ อีกครั้ง เขากลับมาเล่นดี
ขึ้นและที่น่าจะติดตาเหล่า สาวก หงส์แดงก็คือ นัดชิง เอฟเอคัพ ที่ แบร์เกอร์ ลงมาเปิดบอลให้กับ ไมเคิ่ล โอเว่นยิงประตูแซง อาร์เซน่อล คว้าแชมป์สำเร็จ ในปีที่ หงส์แดง คว้า สามถ้วย
แต่ถึงแม้ว่าจะมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นในยุคของ อุลลิเยร์  แต่ แบร์เกอร์ ไม่สามารถที่จะ พัฒนาขึ้นมาเป็น คีย์แมนหลักดังที่คาดหวังได้  แบร์เกอร์ เป็นได้เพียงส่วนประกอบ เติมเต็มของทีมที่ฝากความหวังได้เพียงครั้งคราวเท่านั้น แต่ก็คงไม่มีสาวก หงส์แดงคนใดที่จะลืม ลีลาการลากเลื้อย การยิงไกลอันหนักหน่วงแม่นยำ และที่คาดผม ของหนุ่มผมสวยชาวเช็ก ที่ชื่อว่า แพรทริก แบร์เกอร์ แน่นอน……………………………Dr.Know

ลิเวอร์พูล กับ จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้าย Part 1

Posted in Uncategorized on October 27, 2008 by bertbert

แฟนหงส์แดงหลายๆคนที่ติดตามผลงานในช่วงห่างหายจากแชมป์มานาน ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีนักเตะที่กองเชียร์ฝากความหวังไว้อย่างมากมายและ ตั้งความหวังเอาไว้ว่าเป็น จิ๊กซอร์ชิ้นสุดท้ายที่จะเป็นผู้นำภถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดกลับมาสู่ แอนฟิลด์ ดินแดนอันเต็มไปด้วยเกียรติยศลูกหนังมากที่สุดในเกาะอังกฤษ นักเตะชื่อดังมากหน้าหลายตาเข้ามาสู่แอนฟิลด์ด้วยความหวัง และก็ออกไปด้วยความผิดหวัง ชื่อต่างๆทั้งดีนซอนเดอร์,ไนเจล คลัฟ, สแตน คอลีมอร์, แพทริก แบร์เก้อร์ , เอล ฮัดจิ ดิยุฟ, และที่ทำให้แฟนๆคาดหวังมากที่สุดก็คือ พ่อมด  แฮรี่ คีเวลล์ เหล่านี้ คือนักเตะที่แฟๆคาดหวังว่าจะเป็น จิ๊กซอร์ ชิ้นสุดท้าย  แต่สุดท้ายแล้ว ฟอร์มการเล่นของหลายๆคนก็ไม่ได้เป็นดั่งที่แฟนๆหวัง

คนแรกที่เข้ามาสร้างความหวังว่า นี่คือ  ดีน ซอนเดอร์ ว่าที่เควิน คีแกน คนใหม่ ใครที่ได้ดูฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้นจะรู้ว่า ฟอร์มการเล่น ของ ซอนเดอร์ ร้อนแรงเพียงใดกับ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ จนลิเวอร์พูลทุ่มเงิน 2.9 ล้านปอนด์  อันเป็นสถิติสูงสุดของการซื้อขายในสมัยนั้น  และซอนเดอร์ก็เข้ามาสืบทอดหมายเลข 7 อันเป็นหมายเลขในตำนาน แม้ว่า ในฤดูกาลแรก ซอนเดอร์จะสามารถ ทำได้ถึง 23 ประตู แต่มีเพียง 10ประตูเท่านั้นที่เป็นการยิงในลีก นั่นไม่เพียงพอต่อความต้องการของ กุนซือหนวดหินประกอบกับ การที่ เอียน รัช เพชรฆาตหนวดหิน เข้ามาบอกกับ ซูเนสส์ว่า เขาไม่คิดว่าจะเข้าขากับ ซอนเดอร์ ได้ นั่นเป็นการพิพากษา ซอนเดอร์ ภายในสีเสื้อหงส์แดง ที่เขามีเวลาเพียงน้อยนิดในการพิสูจน์ตัวเอง

คนต่อมาที่แฟนๆคาดหวังก็คือ ไนเจล  คลัฟ ลูกชายของ กุนซือ ปาก กรรไกร ไบรอันคลัฟ  ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ นั้น ไนเจล เป็นเหมือน เจ้าชาย ที่เป็นตัวแทนของทีม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง  ฟอร์มการเล่นของ ไนเจล ในยุคนั้นสื่อมวลชนต่าง ลงความเห็นว่า มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนาน มีชีวิตของหงส์แดง และมีการกล่าวว่าการเล่น ของไนเจล เหมาะสมกับ ลิเวอร์พูล เป็นที่สุด และสุดท้ายแล้ว แกรม ซูเนสส์ ก็คว้า ไนเจลเข้ามาด้วยความหวัง เพราะช่วงนั้น กุนซือ หนวดหินอยู่ในช่วงถ่ายเลือดของทีม และไนเจล ก็สามารถเปิดตัวได้อย่างงดงามด้วยการยิง 2 ประตู ในนัดเปิดตัวกับทีม ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการสร้างความหวังอย่างมากมายให้แก่เดอะค็อป ว่า ตำนานหมายเลข 7 จะมีผู้สืบทอดอย่างแน่นอนแล้ว แต่แล้ว เหมือนกับโชคชะตากลั่นแกล้ง นั่นคือ สัมผัสแรกและสัมผัสเดียวที่ยิ่งใหญ่ของไนเจล คลัฟ ที่ทำต่อ ลิเวอรพูล ถ้าไม่นับผลงาน 2 ประตู ในนัดกับ แมนฯยูไนเต็ด คลัฟน้อยไม่มีผลงานที่น่าจดจำกับ ลิเวอร์พูลเลย ปัญหาอาการบาดเจ็บ และ ฟอร์ม การเล่นอันไม่ สม่ำเสมอ ประกอบกับการแจ้งเกิด ของ พระเจ้า องค์ใหม่ ของ ชาว หงส์แดงที่มีชื่อว่า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์  ได้ปิดโอกาสของ คลัฟน้อยลงอย่างสิ้นเชิง

คนสุดท้ายสำหรับตอนนี้สแตน คอลีมอร์ ฟอร์ม การเล่นของ แสตน “เดอะ แมน ” ก็ไม่ถือว่าขี้เหร่อะไร และแฟนๆยังคงจำลูกยิง นิวคาสเซิ่ลในนาทีสุดท้าย ในอภิมหาแมตช์มสุดมันส์ ที่หลายๆคนยังคงจำได้ดี แต่ด้วยความที่ สแตน ” เดอะแมน” เป็นศิลปินลูกหนัง วันไหนที่ สแตน ตั้งใจเล่น วันนั้น สแตนคือ นักเตะระดับโลก แต่ถ้าวันไหนเป็นวันที่เค้าไม่มีแรงจูงใจที่จะเล่น วันนั้น สแตนก็คือ นักเตะระดับ แชมป์เปี้ยนส์ชิพ ธรรมดาๆ  ในหนังสือ อัตชีวะประวัติ ของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า ในบาง แมตช์ สแตน ไม่อยากจะจ่ายบอลให้ ร็อบบี้ เนื่องจาก กลัวว่าร็อบบี้ จะยิงได้ และจะแย่งความดังไปจากเขา นั่นคือ ความจริงที่อาจจะ ช็อค ความรู้สึกของเดอะค็อปหลายๆคนที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และสุดท้าย บทสรุปของ สแตน “เดอะแมน” คอลีมอร์ ก็คือ การถูกขายออกไปสู่ แอสตันวิลล่า ในราคาที่ขาดทนกว่า 1.5 ล้านปอนด์ หลังจากการเกิดของ ดาวยิงคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ที่ชื่อ ไมเคิ่ลโอเว่น  

นั่นคือ 3 คนแรก ของ ความหวัง “จิ๊กซอร์”ชิ้นสุดท้ายของเดอะค็อปครับ และเราจะกลับมาพูดกันถึงคนต่อไปกันในคราวหน้าครับ                                                                 ………………………………………Dr.Know

 

THIS IS ANFIELD BY Dr.Know

Posted in Uncategorized on August 2, 2008 by bertbert
ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ BLOG THIS IS ANFIELD ครับ ดูแลโดยผม Dr.Know จาก สยามกีฬา สตาร์ซ้อคเก้อร์นะครับใครที่เป็นแฟนเกม สิงห์ซูเปอร์เมเนเจอร์ลีก คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีสำหรับ BLOGแห่งนี้ผมมีความต้องการที่จะให้เป็นที่พบปะพูดคุย กันของเหล่า สาวก เดอะค๊อป หรือ ไม่ใช่ก็ได้ ที่ต้องการรับรู้ข่าวสาร บทความอันเกี่ยวข้องกับสโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล จากประสบการณ์การทำงานที่สยามกีฬามากว่า 5ปี ก็ทำให้อยากขีดๆเขียนๆในเรื่องเกี่ยวกับทีมที่ชอบโดยไม่โดนใครหาว่าลำเอียงอีกแล้ว 55 ผนวกกับช่วงนี้กำลังศึกษาต่อ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย คณะ นิเทศาสตร์ การตลาด หรือ IMC และได้เรียนเรื่องทำ BLOG เลยมีที่มาระบายขีดๆเขียนๆเรื่องของทีมรัก ซึ่งในช่วงเปิด ฤดูกาลใหม่นี้ ผลงานโดยรวม ของ ลิเวอร์พูล ก็ต้องถือว่า ดีอย่างไม่น่าเชื่อ การที่ทีม สามารถ เอาชนะได้ทั้ง  แมนฯยูไนเต็ด และ เชลซีได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักเตะอย่างมากมาย  ซึ่งนักเตะ หลายๆคนสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงต้นฤดูกาลนี้ คนนึงที่ผมอยากพูดถึงเป็นกรณีพิเศษก็คือ ชาบี้ อลอนโซ่ ซึ่ง อลอนโซ่ ได้เกิดและเติบโตในแคว้น บาสถ์ ในประเทศ สเปน จึงทำให้ อลอนโซ่ มีนิสัยที่ชอบการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก อลอนโซเกิดและเติบโตขึ้นมาภายใต้ สโมสร รีล โซเซียดัด ซึ่งสโมสรนี้ก็เกี่ยวข้องกับ ลิเวอร์พูลมาเป็นเวลานานเนื่องจากเป็นสโมสรของ อดีต ดาวยิงระดับตำนานอีกคนของ ลิเวอร์พูล อย่างจอห์น อัลดริดจ์  ที่ย้ายจาก ลิเวอร์พูล ไปยิงกระจายที่นั่น ซึ่ง อลอนโซ่ ในตอนเป็นนักเตะเยาวชนได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นดาวโรจน์ในวงการฟุตบอลของ สเปน อีกคนนึง ซึ่ง ชาบี้ ก็ สามารถ ก้าวขึ้นมาเป็นดางดังของสโมสร รีลโซเซียดัด ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถพาสโมสรคว้าตำแหน่งรองแชมป์ ลาลีก้า ได้อีกด้วย
จนกระทั่ง ในฤดูกาล 2004-2005 เอลราฟา ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งกุนซือของ หงส์แดง ก็คว้าตัว ชาบี เข้าร่วมสโมสร เป็น สเปน คอลเล็กชั่น ในชุดแรก ร่วมกับทาง หลุยส์ การ์เซีย , อันโตนิโอ นูนเยซ,โฆเซมี,และตัว อลอนโซ่เอง ซึ่งในปีแรกที่แอนฟิลด์ ชาบี้ก็สามารถ เป็น 1 ในขุนพล หงส์แดงที่พลิกนรกที่ อิสตันบูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก และยังสามารถยิงจุดโทษตีเสมอให้กับทีมได้อีกด้วยซึ่งเพียงฤดูกาลแรกชื่อของ อลอนโซ่ ได้เข้าไปอยู่ในใจของแฟนๆหงส์แดงได้อย่างมากมาย รวมทั้งทำให้หลายๆคนนึกถึงการเล่น ของ แจน โมลบี้ อดีต มิดฟิลด์เท้าชั่งทองทีมชาติ เดนมาร์ก ของทีมอีกด้วย ซึ่งในฤดูกาลต่อมาผลงานของ อลอนโซ่ ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเดิม จนพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ มาครองได้สำเร็จ แต่ในฤดูกาลที่ 3-4 ต้องยอมรับว่าผลงานของ อลอนโซ่ ดร็อปลงไปมาก จนกระทั่ง ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่ จากสเปนได้ทำการติดต่อเข้ามาขอซื้อ อลอนโซ่ ซึ่ง ราฟา ก็ไม่ขัดขวางในช่วงนั้น แม้ว่าชาบี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ สเปน ที่ไปคว้าแชมป์ยุโรปมาครองอย่างยิ่งใหญ่ก็ตาม ซึ่งจนแล้วจนรอด ด้วยความที่ชาบี้ไม่ต้องการย้ายจนถึงการให้กำลังใจที่น่าชื่นชมของเดอะค๊อปทำให้การเจรจาต้องยกเลิกไป หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ข้อตกลงนั้นยุติลงจึงถือเป็นความโชคดี ของแฟนบอล ลิเวอร์พูล อลอนโซ่ อยู่ต่อ เพราะผลงานในช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมาบ่งบอกแล้วว่าชาร์บี้ อลอนโซ่ คือนักเตะที่เหมาะสมที่จะใส่ชุดลิเวอร์พูลเพียงใด และเสียงขอบคุณนี้คงส่งถึง มาร์ติน โอนีล ด้วย ขอบคุณนะ โอนีล ที่ไม่ขายเกเร็ธ แบรี่ ให้เรา ทำให้เราไม่เสียสุดยอด มิดฟิลด์คนนึงของยุโรปไป
                                                                                     
                                                                                            ………………………….Dr.Know

Hello world!

Posted in Uncategorized on July 10, 2008 by bertbert

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!