บทที่ 3
วันเวลาในโรงงานแห่งความฝัน
การได้เข้าไปมีส่วนร่วมในสโมสรลิเวอร์พูลเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นความรัก ซึ่งคุณๆ ทุกคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลคงเข้าใจดีเหมือนกันหมดว่าเป็นรักไม่รู้จบที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหือดแห้ง คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายที่แอนฟิลด์ ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่ลิเวอร์พูลผมเองมีโอกาสเลือกไปอยู่กับสโมสรชั้นนำแห่งไหนๆ ก็ได้ มีหลายสโมสรมาเชื้อเชิญให้ผมไปฝึกฟุตบอลด้วยอยู่เนืองๆ แมน ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม,เอฟเวอร์ตัน,สเปอรส์ หรือสโมสรดังๆ ที่ไหนลองเอ่ยชื่อมาเถอะ มีทั้งนั้น
ผมได้รับจดหมายจากสโมสรต่างๆ ส่งมาให้ที่บ้านอยู่ตลอด ล้วนแล้วแต่พรรณนาว่าพวกเขาต้องการผมมากแค่ไหน ต่างยืนยันว่าจะทำให้ผมรุ่งเรืองเมื่อเลือกไปอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา “เราจะสร้างคุณให้ยิ่งใหญ่” จดหมายเหล่านั้นบอกเหมือนๆ กัน “ร่ำรวยและมีชื่อเสียงโด่งดัง”
คำเชิญชวนเหล่านี้ไม่มีผลกับผม จุดหมายปลายทางแห่งเดียวที่ดีที่สุดคือแอนฟิลด์ พ่อยืนกรานและปลูกฝังผมมาตลอด แอนฟิลด์เหมาะที่สุด คิดดูการได้ไปฝึกฟุตบอลกับสโมสรที่ผมบูชาได้เรียนกับตำนานฟุตบอลที่มี “ความเชื่อใจ” เป็นเครื่องหมายประจำตัว มีนักฟุตบอลที่เป็นคนดี ซื่อตรง ทำหน้าที่ดูแล โรงเรียนฟุตบอลเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นอะคาเดมี่ ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนที่เคิร์กบี้
ครั้งแรกที่ผมได้พบกับสามแกนหลักของโรงเรียนฟุตบอลเยาวชนลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์, เดฟ แชนนอน และฮิวอี้ แมคคอเลย์ ผมรู้โดยสัญชาติญาณได้ทันทีว่าพวกเขาจะดูแลผมเป็นอย่างดี บอกได้ชัดเจนจากการจับมือที่หนักแน่นและอบอุ่น รวมไปถึงการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งแรกที่พบกัน
สตีฟเป็นตำนานคนหนึ่งของลิเวอร์พูล นักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมจากยุคปี 1970 เดฟรู้จักสนิทสนมกันดีกับ เบน แมคอินไทร์ ผู้จัดการทีม วิสตัน จูเนียร์ ทีมฟุตบอลซันเดย์ลีกที่ผมเล่นอยู่ และนี่เป็นการก้าวอย่างง่ายๆ จากวินสตันมาสู่ลิเวอร์พูล ตอนแรกผมยังเล่นให้กับวินสตันไปควบคู่กัน และได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกที่นั่น ในการแข่งขันทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปี กับทีมอื่นๆ จากทั่วทุกมุมโลก แต่ความสนใจหลักของผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลเท่านั้น
ผมแทบรอจะเริ่มต้นไม่ไหว มาเร็ว ส่งลูกบอลมาให้ผม สอนให้ผมเรียนรู้แล้วผมจะแสดงให้ดูว่าผมทำอะไรได้บ้าง ความฝันของผมเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว ไฮเวย์,แชนนอน และแมคคอเลย์จัดให้มีการฝึกซ้อมที่น่าประทับใจทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดีที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงส์เตอร์ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดในแต่ละสัปดาห์ ผมเฝ้านับวันเวลาในแต่ละอาทิตย์ที่จะได้ไปโบยบินที่โรงยิมของศูนย์ สถานที่ที่เปรียบเสมือนแอนฟิลด์ หรือแม้แต่เวมบลีย์สำหรับเรา
นอกจากจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชฝีมือเยี่ยมแล้ว การมาฝึกฟุตบอลที่ลิเวอร์พูลผมยังได้เพื่อนร่วมทีมที่เข้าขาอีกด้วย ไมเคิล โอเว่น และเจสัน คูมาส เรียนรุ่นเดียวกับผมที่ลิเวอร์พูลและเราเข้ากันได้ดีอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงดึงดูดจากพรสวรรค์ของเรา
เราทั้งสามคนเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าจะตักตวงสิ่งที่ดีที่สุดจากเวอร์นอน แซงส์เตอร์ได้อย่างไร เราจับมือทักทาย สตาฟฟ์ทุกคนด้วยความนับถือตามวิถีของลิเวอร์พูล เราฝึกทักษะ ซ้อมครองบอล และอื่นๆ อยู่เป็นชั่วโมง แต่ยังก่อน ตอนที่ดีที่สุดยังจะมีตามมาหลังสุด ไมเคิล,เจสัน และตัวผมเอง รู้ว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนจะได้เล่นเกมฝั่งละห้าคน
“คนที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูลไปอยู่ด้านโน้น” เดฟ แชนนอนตะโกนสั่ง “คนที่เหลืออยู่อีกด้าน”
เด็กๆ หลายคนใส่เสื้อผ้าต่างๆ นาๆ มาซ้อม แต่ผม ไมเคิล และเจสันเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เรานัดกันเรื่องเสื้อที่จะใส่ล่วงหน้า เพื่อว่าถึงตอนแบ่งทีมห้าคนเราก็ได้อยู่ทีมเดียวกันเสมอ
“ดีละ” ไมเคิลเสนอ “งั้นคราวหน้าเราก็ใส่เสื้อชุดเยือนลิเวอร์พูลมาเหมือนกันนะ”
ผมกับเจสันจะมาซ้อมในเสื้อลิเวอร์พูลแบบเดียวกันเสมอ เมื่อไหร่ที่เรานัดกันใส่ชุดที่ผมไม่มี ผมก็จะอ้อนวอนขอพ่อกับแม่ตลอดทางที่พวกท่านมารับผมกลับบ้าน
“พ่อ แม่ ผมต้องมีเสื้อตัวนี้ ไม่อย่างนั้นผมกับไมเคิล กับเจสันจะไม่ได้เล่นทีมเดียวกัน นะครับๆๆๆๆ”
พ่อแม่ที่น่าสงสาร ผมกดดันพวกท่านเต็มที่ นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถพร่ำอธิบายว่าผมจะขายหน้าแค่ไหนถ้าไม่มีชุดที่ถูกต้อง ปกติพ่อกับแม่ก็จะยอมให้ผมตลอด ขอบคุณพระเจ้า ความคิดที่ว่าผมจะต้องทำให้ไมเคิลกับเจสันผิดหวังทำให้ผมแทบไม่สบาย
เจสันเองเล่นฟุตบอลได้ดี เขาตั้งความหวังจะเล่นฟุตบอลอาชีพให้ได้ แต่ไมเคิลโดดเด่นที่สุด แม้จะด้วยวัยเพียง 8 ปี ไมเคิลก็พิเศษกว่าเด็กอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเหมือนดาวจรัสแสง ทุกๆ คนที่รู้จักเขารู้ดีว่า ไมเคิลถูกส่งมาโลกใบนี้เพื่อทำลายล้างผู้รักษาประตูทุกคน ในการฝึกซ้อมฝั่งละห้าคนที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอนฯ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่นร่วมทีมกับไมเคิล เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้สัมผัสพรสวรรค์อันไม่น่าเชื่อของเขา
ไมเคิลเล่นฟุตบอลเด็กในแถบเมอร์ซี่ไซด์มาตลอดและทำลายสถิติทุกสถิติที่เคยมีมาในแถบดีไซด์ ตอนที่เขาเร่งฝีเท้าเต็มสปีดในเกมที่ศูนย์เวอร์นอนฯ ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุนมาเยือน วินาทีที่ได้เห็นไมเคิลวิ่งเข้าหาผู้รักษาประตู ฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความเร็วและการจับบอลอันสวยงาม ผมรู้สึกชื่นชมพรสวรรค์ที่เหนือธรรมดาของเขา พรสวรรค์ที่ไม่ใช่แค่พูดแต่ถึงกับตะโกนให้โลกได้รับรู้ จากสัมผัสแรกผมเข้าใจทันทีว่าเกมของไมเคิลคือการล่าประตูโดยธรรมชาติ ส่วนไมเคิลก็ตระหนักว่าผมผ่านบอลได้ดี เราทั้งสองจึงเล่นเข้าขากันได้ตั้งแต่ต้น
คนอื่นๆ เข้าใจว่าผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันตลอดเพราะเราสนิทกัน แต่เปล่าเลย ผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันเสมอเพื่อเหตุผลเดียวกัน ชัยชนะ ง่ายๆ แค่นั้นเอง นั่นคือเส้นทางสายเดียวที่ผมกับไมเคิลเลือกเสมอ เราทั้งคู่เกลียดการพ่ายแพ้ หลังเกมจบเราคุยกันเสมอแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องฟุตบอล ผมส่งบอลให้ไมเคิลในตำแหน่งที่เขาจะสร้างความเสียหายได้มากที่สุด
จนทุกวันนี้ผมกับไมเคิลยังมีเรื่องขำขันเกี่ยวกับวันเวลาที่เราเล่นอยู่ในทีมลิเวอร์พูลชุดอายุต่ำกว่า 12 ปี ไมเคิลจะพูดเสมอว่า “ทุกครั้งที่สตีวี่ได้บอลก็จะส่งต่อให้ผม” และผมมักจะจบประโยคด้วย “และทุกครั้งที่ผมส่งให้ ไมเคิลก็ยิงประตู”
ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นการได้ร่วมทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูลดูจะไกลเกินฝัน ในวัยเด็กผมแค่มุ่งมั่นไปกับการพัฒนาตัวเองภายใต้การฝึกสอนของสตีฟและเดฟ ผมจะหัวเสียถ้าผมไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในการฝึกซ้อม บนรถระหว่างเดินทางไปศูนย์เวอร์นอน แซงส์เตอร์พ่อจะกรอกหูผมตลอดเวลาเรื่องรักษาวินัย
“ต้องพร้อมเสมอ” พ่อเน้น
“อย่าคุยตอนซ้อม และทำให้ดีที่สุดเสมอ”
การเกื้อหนุนของพ่อไม่มีวันจบ เมื่อผมเริ่มไปฝึกฟุตบอลจริงๆ จังๆ พ่อไม่เคยพูดสักคำถึงเรื่องทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ พ่อแค่มุ่งสมาธิไปยังแต่ละเกมที่รออยู่ข้างหน้าหรือไม่ก็การฝึกซ้อมคราวต่อไปเท่านั้น
ผมจำได้มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมเกิดเหนื่อยและคิดว่าไม่อยากไปฝึกซ้อม พ่อพาผมไปนั่งที่ห้องโถง
“ทำไมถึงไม่อยากไปเรียนฟุตบอล” พ่อถามเหตุผล
“ถ้าลูกอยากหยุดพ่อจะโทรไปบอกโค้ชไฮเวย์ให้เองว่าวันนี้ลูกเรียนหนักที่โรงเรียน”
พ่อไม่ได้กดดันผมมากจนเกินไป สิ่งที่พ่อทำคือการให้กำลังใจผมตลอดมา
“สตีเว่น ลูกควรไปซ้อมมันจะดีกับตัวลูกเอง” พ่อเสริม “ลูกจะต้องสนุกแน่ ลูกจะต้องทำได้ดี”
พ่อเชื่อมั่นในตัวผมเป็นอันมาก รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวโค้ชอย่างสตีฟและเดฟ
“ถ้าลูกตั้งใจเรียนและพัฒนาตัวเองเสมอ โค้ชจะปั้นให้ลูกเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจแน่ๆ”
พ่ออธิบาย
“ถ้าลูกไม่ไปซ้อมเด็กคนอื่นๆ ก็จะแซงหน้าลูกเพียงเพราะลูกขาดซ้อม พ่อจะไม่บังคับให้ลูกไป แต่ยิ่งลูกไปฝึกซ้อมบ่อยลูกก็ยิ่งจะได้เรียนรู้มากขึ้นและเล่นดียิ่งๆ ขึ้น”
ด้วยคำพูดของพ่อ ผมก็เปลี่ยนใจไปฝึกซ้อมในวันนั้น
พ่อแม่ของผมรู้เสมอว่าลิเวอร์พูลต้องการนักฟุตบอลที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีอยู่วันหนึ่งผมได้ยินพ่อคุยกับแม่
“สตีฟ ไฮเวย์ และเดฟ แชนนอนมักจะคอยดูเสมอว่านักฟุตบอลของพวกเขาทำตัวยังไง เราต้องให้สตีเวนเป็นตัวแทนที่ดีของลิเวอร์พูล”
มีมาตรฐานหลักๆ ที่ลิเวอร์พูลตั้งไว้ ต้องเรียบร้อย, ต้องตรงเวลา พ่อกับแม่ไม่มีวันยอมให้ผมออกจากบ้านไปศูนย์กีฬาหรือไปทำกิจกรรมอะไรเกี่ยวข้องกับทีมลิเวอร์พูลเด็ดขาด ถ้าทรงผมของผมไม่เรียบแปล้จนเงาวับหรือชุดที่ใส่ไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง บางครั้งผมอยากใส่รองเท้าคู่เก่งไปศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงสเตอร์ รองเท้าที่ทั้งเก่าทั้งมีรูพรุนอันเนื่องมาจากเผชิญเกมหนักหน่วงจากริมถนนไอร์ออนไซด์มาแล้วอย่างโชกโชนรองเท้าสุดรักของผม
“ลูกจะไม่ใส่รองเท้าคู่นั้นไปซ้อมนะ” พ่อยืนกราน “เดี๋ยวจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้”
แม่เองถึงกับรีดชุดซ้อมฟุตบอลให้ผม
รีดเนี่ยนะ!
ผมได้แต่ยืนมองอย่างอัศจรรย์ใจตอนที่แม่จับจีบแขนเสื้อด้วยเตารีด เสื้อกลีบโง้งไร้รอยยับย่นบ่งบอกถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้าของแม่ที่จะทำให้ผมดูหล่อเนี๊ยบที่สุด ไม่มีใครที่ไหนรีดเสื้อผ้าฟุตบอลกันนอกจากแม่ผม ชุดเสื้อกับกางเกงจะถูกจัดให้เข้าคู่กันเป็นอย่างดี ผมจะใส่เสื้อทีมเหย้าลิเวอร์พูลกับกางเกงชุดเยือน หรือกางเกงสเปอรส์กับเสื้อลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดแม่ไม่มีวันยอมให้มีความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้น
“ลูกต้องเคารพต่อทีมลิเวอร์พูล” แม่บอกเสมอ
พ่อแม่ผมสุดแสนจะภาคภูมิใจที่ลูกชายได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูล พวกท่านต้องการแน่ใจว่าผมจะทำดีที่สุดเสมอ ไม่กลายเป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ หรือ ดีแต่ปาก
ภายใต้การปลุกปั้นโดยสตีฟและเดฟ ผมได้รับความเชื่อถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในลิเวอร์พูล เมื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของทุกๆ ปีผมมักกังวลว่าสตีฟจะเก็บผมไว้ในทีมไหม ผมกระวนกระวายเฝ้ารอจดหมายยืนยันจากทางลิเวอร์พูล
“บอกสตีเวนว่าไม่ต้องวิตก” ไฮเวย์บอกพ่อผมทุกปี “เขาจะได้เล่นที่นี่แน่นอน ที่นี่มีรองเท้าเตรียมไว้ให้เขาเสมอ”
ผมทำผลงานดีมาตลอดค่อยๆ สร้างชื่อและสนุกสนานไปกับการฝึกซ้อม ตอนที่ผมอายุ 14 สตีฟเรียกพวกเราสี่คนให้เข้าไปพบที่ห้องทำงาน มีผม, ไมเคิล, สตีเฟ่น ไรท์ และนีล เมอร์ฟี่
ไรท์ตี้เล่นให้ลิเวอร์พูลช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมกับซันเดอร์แลนด์ ส่วนเมอร์ฟี่เคยเล่นตำแหน่งแบ๊คขวาให้กับทีมสำรองลิเวอร์พูล ปัจจุบันเขาไปสอนเด็กๆ ที่อะคาเดมี่
ในตอนนั้นสตีฟมีข่าวดีสำหรับเราทั้งสี่ “พวกเธอได้รับคำเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้าที่ลีลล์แชล”
ลีลล์แชล! โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ ผมแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่เป็นสุดยอดสำหรับเส้นทางนักเตะอาชีพ มีแต่คนที่เก่งที่สุดถึงจะเข้าเรียนที่นี่ได้ พระเจ้าช่วย! นรกช่วย! นี่เป็นความจริงใช่ไหม ลีลล์แชลเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนสปริงบอร์ดสู่ความสำเร็จ การทดสอบฝีเท้าต้องเต็มไปด้วยการแข่งขันเข้มข้น ผมเข้าใจดี ทุกๆ คนอยากเข้าโรงเรียนทีมชาติกันทั้งนั้น
ในการคัดตัวรอบแรกจะมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมเป็นร้อยๆ คนมาจากทุกพื้นที่ในอังกฤษ ทุกๆ คนฝันถึงสิ่งเดียวกัน โอกาสได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชล หลังจากการทดสอบฝีเท้าต่อเนื่องจำนวนคนที่ได้อยู่ต่อก็จะเหลือน้อยลงๆ พร้อมกับความใฝ่ฝันของเด็กบางคนที่ถูกทำลายลง จากนั้นก็จะมีการคัดเหลือ 50 คน, 30 คน และท้ายที่สุดจะเหลือแค่ 24 คน เป็นเรื่องโหดร้าย มีคนเพียงน้อยนิดที่จะรอดชีวิต
หลังจบการคัดตัวแต่ละรอบผมก็จะได้รับจดหมายที่บ้าน “ขอแสดงความยินดี คุณได้รับคัดเลือกไปคัดตัวรอบต่อไป” ผมตัวลอย ลีลล์แชลอยู่แค่เอื้อม
ในรอบลึกๆ การแข่งขันยิ่งเข้มข้น นอกจากผมกับไมเคิล โอเว่น ยังมีนักเตะดีๆ อีกมากมายอยู่ในเส้นทางเดียวกัน อย่างเช่น ไมเคิล บอลล์ แบ๊คซ้ายฝีเท้าเยี่ยมของเอฟเวอร์ตันที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับเรนเจอร์ส, เคนนี่ ลันท์ ยอดมิดฟิลด์จากถิ่นครูว์ อเลกซานดร้า
ผมยังคงฝันหวานถึงที่ของผมในลีลล์แชล เวลาว่างผมก็แอบสำรวจฟอร์มคู่ต่อสู้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ ไม่มีใครอื่นเก่งกว่าผม ด้วยความสัตย์จริง ไม่มีสักคน ผมไม่เคยเขินอายในเวลาทดสอบ ผมยืนถูกตำแหน่ง,แทคเกิลหนัก และส่งบอลอย่างชาญฉลาด เจ้าหน้าที่ของลีลล์แชลจะต้องประทับใจแน่ ผมเล่นไปตามฟอร์มของตัวเองโดยมีแรงผลักดันจากความมุ่งมั่นเต็มที่เพื่อชัยชนะจนแทบเจ็บปวด ผมมีความสามารถ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครผ่านบอลได้ดีกว่าผม ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรของผมและลิเวอร์พูลรับแต่เด็กชั้นดีเข้าร่วมทีม ลีลล์แชลต้องเลือกผมเข้าทีมอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อด้อยหนึ่งเดียวที่ผมคิดได้คือคู่แข่งทุกคนตัวใหญ่กว่าผม ผมตัวเล็กจริงๆ ในตอนนั้นและต้องเผชิญหน้ากับเด็กที่สูงใหญ่และแข็งแรงกว่าผมในตำแหน่งเดียวกัน ไมเคิล โอเว่นก็ตัวเล็กแต่เขามีความเร็วที่ทำให้คู่แข่งคนอื่นกลายเป็นถังขยะไร้ค่า แต่สำหรับผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์มันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ตอนแรกรูปร่างดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมก้าวหน้าไปเรื่อยๆ กับการทดสอบแบบคัดออกที่ลีลล์แชลล์ คำตอบรับดูจะเป็นของตาย ผมเริ่มคิดถึงการใช้เวลาสองปีที่นั่น เรียนรู้ที่จะก้าวไปเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ ทางด่วนสู่ชื่อเสียงและโชคดี
ทุกๆ เช้า ผมออกงิ้วกับบุรุษไปรษณีย์เมื่อพบเขาที่หน้าบ้าน
“มีจดหมายไหมครับ? จดหมายจากลีลล์แชลล์ของผมอยู่ที่ไหน”
การทดสอบรอบสุดท้ายผ่านไปแล้วผมรู้ดีว่าจดหมายอยู่ระหว่างทาง กิจกรรมทั้งหมดของครอบครัวหยุดนิ่งระหว่างเรารอจดหมายฉบับเดียวนี้ เช้าวันหนึ่งผมได้รับจดหมายในที่สุด ผมอยู่บนบ้านยังไม่ออกจากห้องนอน พ่อไปที่ตู้จดหมายเป็นคนแรกหยิบจดหมายออกจากตู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นจดหมายจากโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ พ่อเปิดจดหมายออกอ่านโดยรู้ดีว่าจดหมายนี้สำคัญกับผมเพียงไร ผมได้ยินเสียงพ่ออยู่ที่ประตูพ่อเปิดซองดึงจดหมายออกมา
ความเงียบแทบฆ่าผม “ใช่แล้ว!” พ่อต้องตะโกนลั่นไปแล้ว แต่เปล่าเลย พ่อแค่บอกกับผม “จดหมายมาแล้ว”
ความผิดหวังในน้ำเสียงของพ่อไม่ต่างอะไรกับเสียงระฆังกังวานจากงานศพในโบสถ์ เมื่อผมลงไปถึงชั้นล่างผมเห็นพ่อยืนอยู่ที่ห้องโถงถือจดหมายเอาไว้ความผิดหวังแสดงชัดบนใบหน้า ลีลล์แชลไม่รับผม
หัวใจผมแหลกสลาย วิ่งกลับขึ้นห้องนอน พระคริสต์ทรงโปรด น้ำตามันช่างไหลมาจากไหนไม่รู้ ไม่หยุดหย่อน นี่คือจุดจบ มันเลวร้ายเหลือเกิน พ่อเดินขึ้นบันได้ตามมาช้าๆ รับรู้ถึงความโศกเศร้าของผม พ่อรู้ดีว่าผมอยากเข้าเรียนที่ลีลล์แชลเหลือเกิน พ่อเดินเข้ามาในห้องนอนมองดูผมนอนเอาหมอนปิดหน้า ผมเสียใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด น้ำตาทะลักออกมาไม่หยุด ความฝันเรื่องอาชีพฟุตบอลของผมพังทลายไม่มีชิ้นดี
ผมรู้สึกว่าผมไม่ดีพอ ผมเนี่ยนะ! กัปตันทีมลิเวอร์พูลบอยส์ นักเตะที่ได้รับการยอมรับที่ลิเวอร์พูล แม้แต่สโมสรยักษ์ใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยไล่ตามผม ถ้ามีคนของลีลล์แชลสักคนอยู่ในห้องกับผมด้วยผมจะฆ่าเขา พวกเขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไงกัน? ผมรู้ว่าผมเก่งพอ ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าผมไม่ดีพอ ไม่มีเลย ความผิดหวังครั้งแรกทำผมเจ็บปวดปางตาย กลัวเหลือเกินที่ข่าวจะต้องแพร่สะพัดไปทั่วลิเวอร์พูล
ไมเคิลต้องได้เข้าลีลล์แชลแน่นอนอยู่แล้ว เจมี่ คาราเกอร์และเด็กอื่นๆ จากลิเวอร์พูล รวมทั้งเจมี่ แคสสิดี้ก็เรียนที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว รวมไปถึงทอมมี่ คัลชอวส์ มิดฟิลด์จากลิเวอร์พูลก็ได้ไป ผมแค่ต้องการไปร่วมเรียนกับพวกเขา
พ่อแค่อยากช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมเปิดหมอนออกมองหน้าพ่อผ่านม่านน้ำตา
“ผมทนไม่ได้หรอก อาชีพฟุตบอลคงจบเห่” ผมระบาย
พ่อเยี่ยมยอดเหมือนเคย ปาดน้ำตาให้และปลอบโยน
“ฟังนะลูก ลูกทำดีที่สุดแล้วจนมาถึงจุดนี้” พ่อบอกกับผมขณะนั่งบนขอบเตียง
“พ่อดูลูกตอนทดสอบฝีเท้าทุกครั้งและลูกไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ที่นั่น บางทีที่ลีลล์แชลไม่รับลูกอาจเพราะลูกตัวเล็กไป หรือไม่พวกเขาก็อาจสอบถามไปที่คาร์ดินัล ฮีแนนแล้วรู้สึกว่าลูกอาจทนไม่ไหวถ้าต้องจากบ้านไปถึงสองปี นี่ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่ใช่นักฟุตบอลที่ดีสักนิด ลูกเป็นคนเก่ง พ่อรู้ ลูกรู้ และที่สำคัญลิเวอร์พูลก็รู้เรื่องนี้”
ในความผิดหวังแทบตายผมค่อยเบาใจได้กับคำพูดของพ่อ บางทีอาจไม่เกี่ยวอะไรกับฝีเท้าของผมเลยก็ได้ ในจดหมายจากลีลล์แชลพวกเขาไม่ได้อธิบายเหตุผลที่แน่ชัดอีกด้วย
“คุณเป็นผู้เล่นที่ดี อย่ายอมแพ้” พวกเขาเขียนไว้ “บางครั้งไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลที่เราเลือกคนอื่นให้ก้าวไปอีกขั้นแทนคุณ มีเหตุผลอื่นประกอบอีกมากมาย”
เหตุผลบ้าบออะไรกันเล่า!!
เสียงหนึ่งกระซิบในหัวผม เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮายตันเป็นพื้นเพที่พวกชั้นสูงอย่างโรงเรียนแห่งชาติดูแคลน โรงเรียนลีลล์แชลคิดว่าผมจะเป็นพวกเด็กบ้านนอกมารยาททรามที่จะไปทำให้พวกนักเรียนดีๆ เสื่อมเสียงั้นหรือ? ผมไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด ด้วยความสัตย์จริง ผมทำตัวเงียบๆ ตอนไปทดสอบฝีเท้าทุกครั้ง เรียบร้อยและสุภาพ ผมทำสิ่งถูกต้องเสมอ
ก่อนการไปทดสอบฝีเท้าสตีฟ ไฮเวย์ เตือนพวกเราแล้วว่าสตาฟฟ์ที่ลีลล์แชลจะเฝ้าดูเราตลอดแม้แต่เวลารับประทานอาหารว่าเราสุภาพหรือไม่ ผมพยายามวางตัวให้ดีสุดความสามารถ
อะไรคือ “เหตุผลอื่นๆ” ที่พวกเขาอ้างเล่า ผมรู้ว่าทางโรงเรียนจัดประชุมพวกผู้ปกครองระหว่างการทดสอบฝีเท้าด้วย
พ่อแม่ถูกถามคำถามเกี่ยวกับตัวผม “สตีเว่นมีอุปนิสัยอย่างไร, เรียนใช้ได้ไหม, เขาจะมาอยู่ไกลบ้านได้หรือเปล่า”
พ่อกับแม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวผมในเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น พวกท่านหนุนหลังลูกชายเต็มร้อยแน่นอนอยู่แล้ว ทางโรงเรียนลีลล์แชลอาจเห็นว่าผมคงไม่อาจรับมือกับการต้องไปอยู่ห่างบ้าน ต้องแยกจากครอบครัวที่ผมบูชา แน่นอนว่าผมเกลียดการต้องไปอยู่ที่อื่น จนทุกวันนี้ ในใจผมยังคงสงสัยมาตลอดว่าจริงๆ แล้วจะดีหรือไม่ถ้าผมได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลจริงๆ ครั้งนั้น ถึงผมจะคิดเหตุผลได้ร้อยแปดตามที่พ่อชักจูง ทั้งเรื่องพื้นเพของผมที่เป็นคนฮายตันและความคิดถึงบ้าน แต่ลึกๆ แล้วผมยังคงรู้สึกว่าเป็นเพราะผมตัวเล็กเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลีลล์แชลปฏิเสธผม
ไม่มีเหตุผลใดๆ ช่วยบรรเทาความเสียใจได้ ความโกรธของผมที่ลีลล์แชลหันหลังให้ผมอย่างเย็นชาไม่มีวันจางหาย การที่พวกเขาไม่เลือกผมถือเป็นคำดูแคลนที่เป็นส่วนตัวสุดๆ สิ่งนี้ยังคงค้างคาในใจผมคำวิจารณ์ที่มีต่อตัวผมโดยตรง ความทรงจำของการถูกปฏิเสธไม่เคยจางหาย ผมไม่ละทิ้งฟุตบอล พ่อเป็นคนที่คอยพูดให้กำลังใจผม พ่อเป็นคนที่มีเมตตาและเข้าใจอะไรๆ ดี แม้จะได้รับคำปลอบโยนที่แสนอบอุ่นจากพ่อ แต่ความผิดหวัง, อับอาย และขมขื่นยังคงค้างคาในใจผมเสมอมา กระนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
“พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดสิลูก” พ่อเตือน
ด้วยหัวใจหนักอึ้งผมกลับไปฝึกซ้อมที่ลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์รอผมอยู่แล้ว เขาพาผมไปที่ห้องทำงานเป็นอย่างแรกจับผมนั่งเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง
“ฉันดีใจนะที่เธอไม่ได้เข้าลีลล์แชล” เขาพูด “ฉันไม่อยากหลอกเธอ”
ผมประหลาดใจสุดๆ “คนเจ้าเล่ห์” ผมคิดในใจ
“ฉันไม่อยากให้เธอเข้าลีลล์แชลได้” สตีฟอธิบาย “ไมเคิลก็ด้วย ฉันเห็นแก่ตัวรู้ไหม ฉันอยากให้เธออยู่ที่ลิเวอร์พูล ฉันรู้ว่าเธอเสียใจแต่ไว้ใจฉันเถิดสตีเว่น ฉันรู้ว่าฉันจะสอนเธอได้ดีกว่าที่ลีลล์แชลจะทำได้”
ในตอนนั้นผมไม่เชื่อที่เขาบอก ไมเคิลกำลังเตรียมเดินทางไปสู่การผจญภัยใหม่ เขาจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชที่เก่งที่สุดในประเทศ ไมเคิลสมควรได้รับโอกาสนั้น ขอให้เขาโชคดี
“ฉันตื่นเต้นแทนนาย” ผมบอกกับไมเคิลทั้งที่ในใจเจ็บปวด เมื่อเขามาบอกลา
ผมเองก็อยากมีโอกาสเก็บของไปลีลล์แชล ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปไขว่คว้าโอกาสเช่นเดียวกับไมเคิล ผมไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เมื่อมองไปยังที่นั่งและล็อคเกอร์ของไมเคิลที่ว่างเปล่าผมลิ้มรสชาติความล้มเหลวที่ผมเกลียดชัง ผมคิดว่าถ้าสตีฟหนุนหลังผมผมก็คงเข้าเรียนที่ลีลล์แชลได้ ต้องใช้เวลานานมากกว่าผมจะเข้าใจเจตนาดีของสตีฟ
เพราะไม่ได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลทำให้การก้าวเดินขึ้นบันไดสู่ทีมชาติของผมช้าลง ในฟุตบอลระดับเยาวชนมีเรื่องของความลำเอียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เล่นของ โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ จะได้เข้าร่วมทีมชาติชุดยู15 โดยอัตโนมัตเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก เห็นได้ชัด และไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เรื่องนี้ทำเอาผมหัวเสีย มิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่แซงหน้าผมไปเล่นที่ลีลล์แชลก็มี เคนนี่ ลันท์และ เจมี่ เดย์ ของอาร์เซนอล และริชาร์ด เคลเลอร์ จากสคาร์โบโร่ แน่นอนพวกเขาติดทีมชาติชุด ยู15 โดยอัตโนมัติ เหมือนมีคนบอกว่านี่ไงล่ะเสื้อทีมชาติของพวกนาย เลือกเอาตามสบายได้เลย
ผมเดือดพล่านด้วยความขุ่นเคืองกับทางด่วนที่เด็กอื่นได้รับ ตัวผมเองได้แต่นั่งอยู่ที่บ้านเฝ้านึกถึงผู้เล่นมิดฟิลด์คนอื่นวิ่งกันอยู่บนพื้นสนามอันสวยงามที่ลีลล์แชล สนุกสนานไปกับการฝึกสอนประจำวันและมีคนหยิบยื่นกุญแจประตูห้องแต่งตัวทีมชาติ ยู15 ให้กับมือ มีการออกอากาศเกมของพวกเขาทางช่องสกาย ส่วนผมได้แค่จินตนาการเห็นภาพตัวเองเล่นเกมออกทีวีทั่วประเทศแบบนั้น
การได้ดูเกมเหล่านั้นทรมานผมเหลือหลาย ผมนั่งดูเกมอยู่กับพ่อเฝ้าดูมิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่อายุเท่าผมแต่ฝีเท้าไม่เท่า ผมโวยวายหน้าทีวีเมื่อได้ยินผู้บรรยายเกมยกย่องนักเตะในชุดสิงโตคำราม เหล่านั้น ผมแทบเดินหนีไปจากหน้าทีวีด้วยความโกรธเกลียด แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ฉุดผมจนลุกไปจากที่นั่นไม่ได้ ผมรักที่จะดูไมเคิลโชว์ฝีเท้าในทีวี
พวกลีลล์แชลทำผลงานได้ไม่ดีนัก ผมแอบหวัง ภาวนาทุกวันให้พวกเขานึกได้ว่าทำผิดพลาด แย่แล้ว! เราทิ้งเด็กที่ยอดเยี่ยมจากลิเวอร์พูลคนหนึ่งไป ชื่ออะไรนะเจ้าหนูนั่น? เจอราร์ดใช่ไหม ไปตามเขากลับมาดีกว่า ผมเฝ้าฝันถึงจดหมายประทับตราไปรษณีย์ชร็อพไชร์ขออภัยในการมองข้ามที่สุดแสนจะน่าเกลียดและบอกให้ผมเข้าไปร่วมแคมป์ของพวกเขาโดยด่วน ประตูดูเหมือนจะเปิดช่องให้เห็นบ้างเมื่อผู้เล่นจากอาร์เซนอลออกจากลีลล์แชลไป กลางคัน
ไมเคิลโทรมาบอกกับผม “มีการคุยกันว่าจะหาคนมาแทน”
ทำเอาผมนอนไม่หลับคืนนั้น ผมนอนอยู่บนเตียงเฝ้าคิดถึงคำพูดของไมเคิล ใจผมเก็บข้าวของไปลีลล์แชล์แล้วด้วยซ้ำไป พวกเขาจะต้องเรียกตัวผมแน่ๆ แต่ก็เปล่า ไม่มีโทรศัพท์หรือจดหมาย ความหวังเหือดแห้งลงอีกครั้ง…
เจ็ดเดือนต่อมาความโกรธแค้นของผมต่อลีลล์แชล์ได้รับโอกาสสุดวิเศษที่จะได้ระบายออก ทีมโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติจะมาที่สนามเมลวู้ดที่ซึ่งเด็กๆ ของโค้ชไฮเวย์ใช้เป็นสถานที่แข่งขันอยู่ในเวลานั้นเพื่อแข่งขันกับพวกเรา
ขอบคุณพระเจ้า!
ผมเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี ผมมองเกมนี้เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ สารภาพตามตรง ผมใช้คืนก่อนเกมการแข่งขันทำความสะอาดรองเท้าจนเอี่ยม ดูให้แน่ใจว่าสตั๊ดดูดีเฉียบขาดเหมือนของพวกเด็กๆ ทีมชาติ
พ่อเตือนผมให้เพลาๆ ลงบ้าง “ลูกจะเสียหน้า” พ่อบอกผมอย่างนั้น “ลูกต้องเจออย่างนั้นแน่ ลูกก็รู้พวกเด็กๆ จากโรงเรียนระดับชาติเก่งกว่าลูกมาก”
ผมได้แต่ตอบส่งๆ ไป “ครับพ่อ ครับๆ ผมรู้แล้ว” แต่ในใจเร่าร้อน
ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะต้องไปชกมวยในเกมวันศุกร์ ผมลืมตาตื่นตลอดคืนเหมือนกลัวว่าถ้าหลับไปผมจะอ่อนแอ ลดความเกรี้ยวกราดในหัวใจลง ในตอนเช้าผมตรงดิ่งไปยังเมลวู้ดเต็มไปด้วยคลื่นของอะดรีนาลีนและความขุ่นข้อง สตีฟยังเห็นได้ชัดถึงไฟในดวงตาผม
“ระวังหน่อยสตีเว่น” เขาเตือน “เธออาจเจ็บตัวได้”
“พวกเขาจะได้รับรู้” ผมตอบ “พวกเขาทุกคนจะต้องได้รับการตอบแทนที่สาสม ผมจะทำให้พวกลีลล์แชล พวกเขาทุกคนเลยเห็นว่าพวกเขาทำผิด”
สตีฟพยายามยกเหตุผลมาคุยกับผม แต่ไม่มีวันเสียละ ภารกิจของผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว
และเมื่อผมได้เห็นเด็กๆ จากลีลล์แชลเดินแถวผ่านตึกในเมลวู้ดอย่างสง่างามและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแบบนักเตะทีมชาติ ไฟร้อนแรงก็เผาผลาญข้างในผมเหมือนอยู่ในนรก ผมยิ่งกว่าถูกผีสิง มาถึงตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าผมยับยั้งตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปอัดพวกนั้นติดกำแพงได้อย่างไร
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า” ผมคิด “มาเลย ! พวกนายกับเสื้อผ้าไร้ที่ติกับยิ้มอวดดีของพวกนาย ฮายตันปะทะลีลล์แชล์ เราจะได้เห็นกันว่าใครเหนือกว่าใคร”
พระเจ้า! ผมแทบทนรอไม่ไหว
ผมแล่นออกจากตึกมาที่สนาม ดีละ ผมคิด รู้ดีว่าเราอยู่ที่สนามอะไร ลิเวอร์พูลทำให้ผมภาคภูมิใจ ปกติเราจะได้เล่นในสนามของทีม B แต่วันนี้ในเกมกับลีลล์แชลเราได้เล่นในสนามทีม A พื้นสนามนั้นดีพอๆ กับที่แอนฟิลด์เลยทีเดียว ต้องมีใครสักคนที่สโมสรรู้ดีว่าเกมการแข่งขันวันนี้มีความหมายกับผมแค่ไหน ขอบคุณจริงๆ
ผมเริ่มวอร์มอัพ ผ่านขั้นตอนตามพิธีการก่อนเกมในฐานะกัปตันทีม จากนั้นผมก็เอาแต่จ้องกรรมการเขม็งเร่งให้พวกเขาเริ่มเกมโดยเร็ว
เสียงนกหวีดเริ่มเกมประทับในความรู้สึกผมไม่ต่างกับเสียงระฆังเริ่มต้นการชกมวยชิงรางวัล เสียงแตรศึก สัญญลักษณ์การเริ่มสงคราม ผมพังกองกลางลีลล์แชลจนแหลก ฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ ไม่มีความปราณี ทุกๆ แทคเกิลผมใส่ความผิดหวังทั้งหมดที่ถูกโรงเรียนระดับชาติเมินลงไป ผมรักความคิดที่ว่าพวกโค้ชจากลีลล์แชลได้แต่ยืนอยู่ข้างสนามโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ในขณะที่ผมขย้ำนักเตะที่พวกเขาเลือก
“นี่จะทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่าพวกเขาปฏิเสธอะไรไป” ผมบอกกับตัวเองขณะส่งเด็กล้ำค่าของพวกเขาปลิวลิ่วขึ้นไปบนอากาศคนแล้วคนเล่า
“เบาๆ หน่อย” กรรมการตะโกนบอกผมตลอดเวลา
ไม่มีทาง เด็กลีลล์แชล์พวกนั้นจะต้องเผชิญกับเวลาที่ยากลำบาก ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ กรรมการจะมาเข้าใจความเจ็บปวดของผมได้อย่างไรกัน
ทีมลีลล์แชลประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นดีอย่างไมเคิล บอลล์ ,เวส บราวน์ และแน่นอนที่สุด เพื่อนผมไมเคิล โอเว่นผู้ซึ่งไม่พ้นทำแฮตทริกอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ พวกเขาชนะเรา 4-3 ประตู แต่ผมเองก็ยิงได้ประตูหนึ่งด้วย ผมเล่นได้ดีถึงขนาดว่าผู้เล่นทุกคนในฝั่งทีมชาติวิ่งมาจับมือกับผมหลังจบเกม ผมต่อสู้กับพวกเขาอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยังต้องการแสดงความนับถือ ขาวสะอาดดี ผมชื่นชมพวกเขาในเรื่องนี้
“เรื่องที่นายไม่ได้ไปลีลล์แชลนี่น่าขำสิ้นดี” ไมเคิลเอ่ยกับผมตอนเดินออกจากสนามด้วยกันหลังสงครามสิ้นสุด “นายดีเกินกว่าที่จะถูกปฏิเสธ”
พวกสตาฟฟ์ทีมชาติเดินเข้ามาหาเพื่อแสดงความยินดีกับผม แต่ผมแค่หันหลังกลับวิ่งหนีเข้าห้องแต่งตัวไปเฉยๆ ผมยังรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ไม่มีทางที่ผมจะจับมือกับบรรดาคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดหัวใจมากมายอย่างนี้หรอก พวกเขาไม่ไยดีผมตั้งแต่แรกนี่เป็นยาขมแบบเดียวกับที่พวกเขาให้ผม รับมันกลับคืนไปเถอะ
จนทุกวันนี้ผมก็ยังถือโกรธพวกเขาไม่หาย ผมไม่สามารถดึงความรู้สึกกลับคืน ผู้จัดการที่ไม่เลือกผมให้เข้าร่วมทีม ยู15 จอห์น โอเว่นส์ ปัจจุบันเป็นโค้ชอยู่ที่ ลิเวอร์พูล อะคาเดมี่ ผมชอบเดินสวนกับเขาตอนนี้ รักเลยล่ะ
เมื่อเห็นเขาเดินมาข้างหน้าผมก็จะสำรวมตัวเอง กล่าวทักทาย “สวัสดี” เมื่อเราเดินสวนกัน
โอเว่นส์คงคิดว่าผมลืมเรื่องเกี่ยวกับทีม ยู15 ไปหมดแล้ว แต่เปล่าเลย เมื่อไหร่ที่เราได้พบปะกันโอเว่นส์ดีกับผมเสมอ ผมพูดคุยกับเขาพยายามเต็มที่ที่จะทำตัวสุภาพทั้งๆ ที่ภายในเกรี้ยวกราด
ผมมักรู้สึกอยากลากเขาเข้าไปในห้องและถาม “ทำไมไม่เลือกผมตอนนั้น? คุณทำผิดมหันต์รู้ไหม บอกเหตุผลมาต่อหน้าผมเดี๋ยวนี้เลย เหตุผลทั้งหลายแหล่ที่คุณบอกมาในจดหมายปฏิเสธมันช่างไร้สาระ เป็นเพราะความสูงของผมงั้นหรือ? จริงอยู่มิดฟิลด์คนอื่นๆ ของคุณอาจจะตัวใหญ่หรือแข็งแกร่งกว่าผมบ้าง แต่ไม่มีใครเล่นดีไปกว่าผมอีกแล้ว ไม่มีสักคน”
เมื่อมาทบทวนดู ผมก็ว่าไฮเวย์พูดถูกมาตลอด ผมควรจะไปใช้เวลาสองปีที่โรงเรียนทีมชาติมากกว่าได้รับการฝึกสอนอย่างเชี่ยวชาญโดยสตีฟถึงสองฤดูกาลเต็มอย่างนั้นหรือ? สตีฟและสตาฟฟ์ของเขารักผม และผมก็รักพวกเขา วิธีการฝึกสอนของพวกเขาเหนือชั้น สตีฟและเดฟ แชนนอนสอนทุกสิ่งที่ผมรัก การครองบอล, โยนบอล, การยิงประตู และการผ่านบอล
ในตอนท้ายของการฝึกซ้อมเราจะได้เล่นเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ถ้ามีใครทำผิดพลาดสตีฟกับเดฟจะสั่งให้วิดพื้น เราต้องก้มหน้าขึ้นลงกับพื้นสนามในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่รอบๆ ทุกครั้งที่ทำพลาดผมจะรีบวิดพื้นให้เสร็จเพื่อกลับเข้าสู่เกมให้เร็วที่สุด ผมต้องการเหลือเกินที่จะชนะ จะสร้างความประทับใจ นี่คือชีวิตของผม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง การซ้อมที่ลิเวอร์พูลคือโลกทั้งโลกของผม
เกมฟุตบอลที่อะคาเดมี่ มีมาตรฐานคุณภาพต่างจากเกมฟุตบอลของผมเล่นกับเพื่อนนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน หรือพวกแก๊งไอร์ออนไซด์ของผมมากมายนัก เพื่อนร่วมทีมที่ลิเวอร์พูลมีฝีเท้าในระดับเดียวกันกับผม พวกเขาเข้าใจการผ่านบอลของผม ถ้าเพื่อนที่คาร์ดินัล ฮีแนนวิ่งผิดทางหรือคอนโทรลบอลไม่ได้ก็จะทำให้ผมหงุดหงิดเป็นการใหญ่
“พวกเพื่อนอาจไม่เก่งเท่าเธอแต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนเธอนะ” คุณครูที่คาร์ดินัล ฮีแนนบอก “เธอต้องยอมรับพวกเขา”
แต่ที่ลิเวอร์พูลทุกๆ คนอยู่ในระดับเดียวกันกับผมทั้งหมด
การปฏิเสธของลีลล์แชลยิ่งทำให้ผมรักลิเวอร์พูลลึกซึ้งกว่าเดิม การที่ลิเวอร์พูลต้องการผมทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้พวกเขาเต็มที่และพิสูจน์ให้โรงเรียนทีมชาติเห็นว่าพวกเขาคิดผิด ในระยะยาวการไม่ได้เข้าเรียนกับโรงเรียนทีมชาติทำให้ผมพอใจในที่สุด ในความเห็นของผมพวกโค้ชทีมชาติคงไม่สามารถพัฒนาผมได้ดีเท่ากับที่สตีฟ ไฮเวย์ทำ สตีฟมักจะมาเยี่ยมบ้านผมที่ไอร์ออนไซด์อยู่เป็นประจำ มาดูว่าเราเป็นยังไงหรือไม่ก็โทรมา สตีฟเชิญพ่อกับแม่ผมไปพบปะกันที่สถาบันเสมอเพื่อคอยดูให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สตีฟเอาใจใส่ผมเสมอ
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง” เขาสอบถามผมเสมอเมื่อมีโอกาส “เดือดร้อนเรื่องเงินไหม “
เขารู้ดีว่าเราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ ถึงกับยื่นมือมาช่วยเป็นครั้งคราว สตีฟชอบที่จะสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวของนักเรียนของเขา ชอบช่วยเหลือคน เขาเป็นคนที่สุดยอด ดีเลิศ ชัดเจนว่าความใส่ใจของลิเวอร์พูลทำให้ผมมีความสุข แต่ความผูกพันที่พวกเขามีให้ผมไม่ใช่แค่ในแง่ความเป็นมืออาชีพ แต่พวกเขาใส่ใจจริงๆ
ผมไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อที่วิ่งได้ในสนาม หรือการลงทุนเพื่ออนาคต สำหรับสตีฟและลิเวอร์พูล ผมมีเลือดมีเนื้อ มีความหวาดกลัวและความฝัน สตีฟดูแลผมเหมือนลูก ผมไม่เคยลืมว่าสตีฟ ไฮเวย์มีส่วนอย่างมากในการปลูกฝังให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมากพอๆ กับทำหน้าที่สร้างผมให้เป็นนักฟุตบอลที่ดี ช่างหัวลีลล์แชลปะไร ผมมีลิเวอร์พูลอยู่แล้ว
สตีฟไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีสโมสรต่างๆ ยังคงติดตามผมเสมอมา มีแต่พวกซื่อบื้อที่ลีลล์แชลเท่านั้นที่ไม่รู้ ผมได้รับการยอมรับจากทุกๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งจดหมายมาหาผมเป็นประจำ จดหมายดีๆ น่าอ่านกว่าจดหมายจากลีลล์แชลเยอะแยะ บุรุษไปรษณีย์ยังคงแวะเวียนมาส่งจดหมายจาก คริสตัล พาเลซ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอฟเวอร์ตัน และสเปอร์ส
วันหนึ่งพ่อของผมไปพบสตีฟ “ดูสิ สตีเว่นได้รับข้อเสนอพวกนี้มาตลอด” พ่อบอกกับเขา “เราจะลองพิจารณาทางเลือกสำหรับอนาคตของเขากันหน่อยดีไหม “
สตีฟเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน อาจกำลังคิดหนัก
“ถ้าสตีเว่นอยากไปลองดูด้วยตัวเองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และที่อื่นๆ มีอะไรมาเสนอให้บ้าง ก็น่าจะให้เขาลองไปสัมผัสดู” สตีฟกล่าว
“ถ้าเขาอยากลองไปดูว่าทีมอย่างสเปอร์หรือซิตี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกยังไงในสนามซ้อมก็ไม่มีปัญหา เราคงไม่คิดเป็นอื่นกับเขา เราจะไม่ผิดหวังกับสตีเว่นหรอก”
ผมก็เลยไป เอฟเวอร์ตันเปิดโอกาสให้ผมไปดูจนทั่วสโมสร พยายามทำให้ผมประทับใจ ผมเล่นทดสอบฝีเท้าให้ทีมของพวกเขาในเกมกับทรานเมียร์ โรเวอร์ส จากนั้นผมก็ไปสวมชุดสีน้ำเงิน-เลือดหมูของเวสต์ แฮม เมื่อเราเอาชนะทีทเคมบริดจ์ ยูไนเต็ดไป 6-2 ประตู ตอนที่ผมอายุสิบสี่ เสื้อแดงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เคยอยู่บนตัวผมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผมเล่นเกมให้พวกเขา 2 เกม เพื่อทดสอบฝีเท้า หลังจากทำได้ดีในทั้งสองเกมยูไนเต็ดก็เสนอสัญญาอาชีพ 3 ปีให้กับผม
ผมยังเคยมีโอกาสได้พบกับผู้จัดการทีมที่เป็นตำนานของพวกเขา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเด็กๆ ที่ไปทดสอบฝีเท้ามีโอกาสได้ไปร่วมทานอาหารค่ำกับมิสเตอร์เฟอร์กูสัน ไมเคิล โอเว่นเองก็อยากไปด้วยในวันนั้นแต่สุดท้ายเขาก็ไม่โผล่ไป ไมเคิล บอลล์ก็ไปด้วย
พวกเรานั่งที่โต๊ะเดียวกันอ้าปากค้างฟังคำพูดของผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ มร.เฟอร์กูสันเป็นคนเหนือชั้น ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนสำคัญในก้าวกลับมาทางความยิ่งใหญ่ของยูไนเต็ด มร.เฟอร์กูสันรู้จักชื่อเสียงของผมดีและเขาต้องการได้สัญญาจากผม เขาเล่าให้พวกเราฟังว่าเราจะไปได้ดีอย่างไรที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขามีภารกิจที่จะหนุนหลังนักเตะเด็กๆ รุ่นใหม่อย่างไรบ้าง ในช่วงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของไรอัน กิ๊กส์ และเดวิด เบคแฮม
ผมนั่งอยู่ที่นั่น เพลิดเพลินกับอาหารค่ำและรับฟังสิ่งดีๆ จาก มร.เฟอร์กูสัน แต่ผมไม่คิดจะเซ็นสัญญากับยูไนเต็ด ไม่มีวัน ผมเที่ยวไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ก็เพียงเพื่อกดดันลิเวอร์พูลให้เสนอสัญญา YTS แก่ผม ( YTS – สัญญาฝึกงานซึ่งหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ จะเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ารับการฝึกงานและรับค่าตอบแทน)
เมื่อผมกลับไปที่ลิเวอร์พูลหลังจากไปแข่งขันทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ผมก็ไปพบสตีฟ ไฮเวย์ “ผมสนุกมากที่ได้ไปเล่นกับทีมเหล่านั้น” ผมบอกเขายิ้มๆ ในไม่ช้าผมก็ได้รับสัญญา YTS จากลิเวอร์พูล ในตอนจบฤดูกาล ยู16
นักเรียนคนอื่นๆ ต้องเข้าไปที่ห้องในเมลวู้ดทีละคนเพื่อฟังว่าแต่ละคนจะได้เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลหรือไม่ แต่ผมไม่ต้องรอผล ผมรู้ก่อนแล้ว ผมไม่อาจอวดเอากับใครได้ว่าผมได้รับสัญญาในแบบฟอร์มขาว-ดำจากสตีฟเรียบร้อยแล้ว แต่มันเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน กับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 50 ปอนด์ ไมเคิล โอเว่นก็ได้รับสัญญาจากสตีฟด้วยเหมือนกัน
สตีฟดูแลพวกเราเสมอ บางครั้งก็หาตั๋วฝั่งเดอะ ค็อป มาให้ผม พอล และเพื่อนๆ ของเรา เขาพาผมไปเวมบลีย์ถึง 3 ครั้ง เพื่อดูเกมชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ และโคคาโคลา คัพ เราจับรถไฟเดินทางล่องใต้ ไปด้วยกันทั้งสตีฟ, ฮิวอี้ และเดฟ ภรรยาของพวกเขาดูแลผมเหมือนลูก
เราได้ไปดูเกมเอฟเอ คัพ ปี 1992 ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไป 2-0 ประตู และการเล่นอันยอดเยี่ยมของสตีฟ แมคมานามาน ต่อสู้กับโบลตัน วันเดอร์เรอส์ในการชิงถ้วยโคคาโคลา คัพ สามปีถัดจากนั้น ไมเคิล โอเว่นนั้นนับเป็นนักเตะเยาวชนที่มีค่าที่สุดของลิเวอร์พูล ดังนั้นผมจึงคิดเอาว่าผมคงจะสำคัญเป็นอันดับรองลงมาเพราะผมได้รับรางวัลด้วยการพาไปดูเกมสำคัญๆ ที่เวมบลีย์
สตีฟดีกับผมเสมอ ผมไม่เคยลืมวันที่ได้รับโทรศัพท์จากเขาเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ผมกำลังจะออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไปโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนตอนที่โทรศัพท์ดัง
สตีฟพูดเข้าประเด็นทันที “สตีเว่น เราจะเล่นเกมชองชนะเลิศเอฟเอ ยูธ คัพ กับทีมเวสต์ แฮมในอีกสองวัน แต่ในทีมมีนักเตะบางคนบาดเจ็บ เราอยากได้เธอสำรองเอาไว้ พยายามเตรียมตัวให้พร้อมนะ”
ผมตื่นเต้นจัด ตัวแทบลอยขึ้นเหนือก้อนเมฆตลอดทางไปโรงเรียน การบาดเจ็บและเจ็บป่วยระบาดในทีมเยาวชน แต่ผมไม่เคยคิดฝันว่าพวกเขาจะเหลียวมองผม ผมไม่มีชื่อในทีมในที่สุด น่าเสียดาย ลิเวอร์พูลมีนักเตะเด็กเก่งๆ หลายคน ไม่ว่าจะเป็นเดวิด ธอมป์สัน, เจมี่ คาราเกอร์ และแน่นอนเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากโอเว่น ดาวจรัสแสงตัวจริงเสียงจริง พวกเขามีชัยในเกมชิงชนะเลิศเหนือทีมของนักเตะอย่างริโอ เฟอร์ดินาน และแฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ไม่ยาก แต่ผมซาบซึ้งกับการที่สตีฟนึกถึงผม
สตีฟยังช่วยจัดการให้ผมได้ฝึกงานที่ลิเวอร์พูล ผมนั่งอยู่ในห้องเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนนฟังพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนคุยกันถึงหน่วยงานหรือสถานประกอบการที่พวกเขาเลือกไปฝึกงาน จัดวางสินค้าตามห้างอย่างแอสด้า หรือ ควิกเซฟ ไม่เหมาะกับผม จากที่เราได้ยินได้ฟังมามีคนบอกว่านักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน รุ่นก่อนๆ บางคนได้ไปฝึกงานที่เมลวู้ด ทำให้ผมคิดได้ ผมจะไม่ยอมไปฝึกงานตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเด็ดขาดถ้ามีโอกาสไปทำที่เมลวู้ดรออยู่ตรงหน้า
ผมจึงบุกไปที่ออฟฟิศของสตีฟ “ผมยอมถูพื้นทุกห้อง ขัดรองเท้าทุกคู่ ถ้าผมได้มาฝึกงานสองอาทิตย์ที่เมลวู้ด” ผมบอกสตีฟ
เขาก็เลยจัดแจงติดต่อที่โรงเรียนให้ ดังนั้น ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นของผมไปฝึกงานกับพ่อๆ ทำงานก่ออิฐ, งานใช้แรงงาน หรือช่วยงานตามร้านค้า ผมก็ได้มีโอกาสไปอยู่ร่วมกับนักเตะทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลนานถึงสองสัปดาห์ ผมแทบไม่เชื่อโชคของตัวเองเพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน ใครๆ ที่คาร์ดินัล ฮีแนน ก็อิจฉาผมกันทั้งนั้น
นักเรียนอื่นๆ ที่เคยมาฝึกงานที่เมลวู้ดได้ฝึกงานแค่กับทีมสำรอง แต่เมื่อผมเข้าไปรายงานตัวผมได้รับแจ้งว่าผมจะได้ฝึกงานกับนักเตะที่เป็นตำนานอย่างจอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ ฮีโร่ของผม ผมสาบานได้เลยว่าทั้งสองเป็นคนดีเอามากๆ
นับเป็นสิทธิพิเศษในชีวิตผมที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา ได้ยืนอยู่ที่เส้นขอบสนามเมลวูด อ้าปากค้างดูพวกเขาฝึกซ้อมโชว์ฝีเท้าระดับเทพดูเหมือนจะเป็นขอบเขตใกล้ที่สุดที่ผมจะเข้าใกล้ได้ หน้าที่ในการฝึกงานจะมีแค่ทำความสะอาดพื้น, ล้างและขัดรองเท้า, เติมลมลูกบอล, เรียงกรวยในสนามซ้อม และคอยเก็บลูกฟุตบอล
แต่รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในสมัยนั้นเรียกผมไปร่วมเล่นเกมฟุตบอล 5 คนด้วย ผมอายุแค่สิบหกแต่ได้ผ่านบอลให้จอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็เอาแต่ส่งบอลให้ผม ช่วยให้ผมเล่นได้ดีขึ้นๆ พวกเขาทำให้ผมดูเหมือนดิเอโก้ มาราโดน่า
ช่วงเวลาสองสัปดาห์นี้เติมความรักหลงใหลในเกมฟุตบอลและความปรารถนาที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพกับลิเวอร์พูลให้ผมจมลึกลงไปทุกทีๆ ผมไม่เคยได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวร่วมกับพวกทีมชุดใหญ่ แต่ได้ใช้ห้องเดียวกับนักเตะวัยรุ่นอย่างเจมี่ คาราเกอร์, เจมี่ แคสซิดี้, เดวิด ธอมป์สัน และแกเร็ธ โรเบิร์ตส
เรื่องโจ๊กในห้องแต่งตัวของพวกเขานั้นสุดยอด, ขำกลิ้ง และสุดแสบ พระเจ้า! ผมอิจฉาพวกเขาจัง คาร่ากับพวกได้อยู่ที่เมลวู้ดทุกวัน มีช่วงเวลาแห่งชีวิตที่นั่น และผมต้องมุ่งหน้ากลับห้องเรียนน่าเบื่อหน่ายหลังฝึกงานครบสองสัปดาห์ ผมหดหู่ แต่ก็ไม่ต้องทนนาน ผมได้สัญญา YTS มาแล้ว ในภาคเรียนสุดท้ายผมเข้าเรียน ทำการบ้าน และเข้าสอบ แต่ไม่ได้ตั้งใจอะไร ผมรู้ว่าอีกสองเดือนข้างหน้าเส้นทางของผมก็จะเดินทางไปถึงลิเวอร์พูล
วันสุดท้ายของผมที่คาร์ดินัล ฮีแนนผมต้องไปนั่งสอบซ่อมอยู่สองชั่วโมง ผมนั่งในห้องสอบคิดหนักกับปัญหาข้อหนึ่ง : ผมจะกำจัดชุดนักเรียนของผมให้สิ้นซากยังไงดี นาฬิกาฟ้องว่ายังเหลือเวลาเกือบชั่วโมงตอนที่ผมวิ่งแจ้นออกมา ผมไม่เคยวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทางเร็วเท่านี้มาก่อน ผมปรารถนาเหลือเกินที่จะกลับไอร์ออนไซด์ไปใส่ชุดธรรมดา โยนชุดนักเรียนทิ้งไปให้เร็วที่สุด ได้พักหกสัปดาห์แล้วก็เข้าสู่ชีวิตฟุตบอลเต็มเวลา
“การสอบเป็นยังไงบ้าง?” แม่ถามเมื่อผมถึงบ้าน
“ดีครับแม่” ผมตอบ ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าทำข้อสอบไม่ได้เรื่อง ผมส่งชุดนักเรียนให้แม่ “ได้โปรดช่วยทิ้งนี่ลงถังขยะให้ผมด้วย”
มีเครื่องแบบอื่นรอผมอยู่นับจากนี้ : เครื่องแบบลิเวอร์พูล
**** จบบทที่ 3 ****