Archive for November, 2008

ราชันคืนบัลลังค์

Posted in Uncategorized on November 10, 2008 by bertbert

p6130621

หลังจากมี พี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ที่เคยพูดคุยหรืออ่านบทความของ ผมใน นสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ จากเกมส์ สิงห์ ซูเปอร์ เมเนเจอร์ลีก ส่ง message มาว่า อยากให้เขียนบทความเกี่ยวกับ ทีม รัก ลิเวอร์พูล ที่ฤดูกาลนี้ออกสตาร์ทร้อนแรงดีเลยทีเดียว วันนี้ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้เขียนซักที กับเรื่องที่คิดมานานแล้วว่าอาจจะวนเวียนมาจบลงซักทีในฤดูกาลนี้ นั่นก็คือ การกลับมาเป็นแชมป์ ลีกสูงสุดของ ลิเวอร์พูล นานมากแล้วครับ………………
  จนคิดว่านานเกินไปแล้วที่ ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษทีมนี้ที่ร้างลาไปจากถ้วยแชมป์สูงสุดในประเทศ ในช่วงที่ผมดูฟุตบอล อังกฤษใหม่ๆเมื่อฤดูกาล 87-88 ตอนนั้น เราคือ ราชา ใครที่เคยเห็นทีมชุดนั้นเล่นน่าจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือ สโมสรที่เก่งที่สุดในโลก ถ้าในช่วงนั้นเราไม่ถูกแบนจากการเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป สถืติแชมป์ยุโรปของเรามีมากกว่า 5สมัย แน่นอน และเหตุใดที่ปีนี้ผมมีความคิดว่าเราน่าจะกลับคืนบัลลังค์เจ้าแห่งเกาะอังกฤษอีกครั้ง
 ไม่ใช่ว่า พอชนะแล้วผมก็มั่นใจลุกขึ้นมาเขียนพล่อยๆออกมาเหมือนกับพวก เกรียน ตามกระทู้พันธ์ทิพย์ แต่ที่คิดเช่นนั้นก็เนื่องมาจากว่า เฝ้าติดตามดูการสร้างทีมของ เอล ราฟา สุดยอดกุนซือของเรา รวมถึงเหตุการณ์รอบข้างต่างๆนาๆอีกมากมาย ที่ทำให้คิดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีของเราซักที ปัจจัยภายนอกที่กล่าวไว้ข้างต้นก็ได้แก่การเปลี่ยนแปลงของคู่แข่ง บิ๊ก 4 ต่างๆ 

wojamt428205-021

 ทีมแรกแมนฯยูไนเต็ด  อสูรแดงทีมนี้มีการเปลี่ยนแปลงโดย คาร์ลอส เคยรอช ลิ่วล้อ ของเซอร์อเล็กซ์
ที่อยากใหญ่บ้างโดยไม่ดูความสามารถของตัวเอง ไปคุมโปรตุเกสให้เสียวว่าจะไม่ได้ไปบอลโลกเล่นๆ ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ ขาดมือขวาผู้รู้ใจ ซึ่งการขาดมือขวาที่รู้ใจไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะครับ ดังเช่นที่ทีมเราเคยประสบมาเมื่อฤดูกาลก่อน ที่ ปาโก้ อาร์เยสตาราน โบกมือลาทีมไปทั้งที่เพิ่งเปิดฤดูกาลไปไม่เท่าไหร่ ซึ่งนั่นผมคิดว่าเป็นสาเหตุหลักสาเหตุนึงที่ทำให้ทีมเราเป๋ไปพอสมควรในฤดูกาลที่ผ่านมา และคิดว่าปีนี้ เซอร์ อเล็กซ์น่าจะเจอปัญหาในข้อนี้บ้างแล้ว เพราะสังเกตุว่าใน หลายๆนัดที่แมนฯยูพลาดพลั้งให้คู่ต่อสู้ เซอร์อเล็กซ์ มักดูไอ เดีย ตันๆ ไม่เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งขอให้เป็นอย่างนี้ไปนานๆ เช่น เดียวกับ เชลซี ซึ่งมีการเปลี่ยน กุนซือ ใหม่ ที่แม้ว่าจะได้กุน ซือที่มีชื่อว่า ฟิลลิปเป้ สโคลลารี่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกุนซือแถว หน้าของโลกเลยก็ว่าได้ แต่ บิ๊กฟิล ก็ถือว่ายังใหม่ กับ พรีเมีย ร์ชิพ และ ยังไม่รู้จัก ความโหดของ พรีเมียร์ชิพ มากพอ รวม ถึงความคิดเห็นส่วนตัวที่ว่า บิ๊ก ฟิล เป็นกุนซือที่ดี แต่ ไม่ดี มาก เพราะการที่เขา คุม บราซิลเป็นแชมป์ โลก ทำให้เป็น เกราะคุ้มกันให้กับตัวเขาเป้นอย่างดี ลองมาดูผลงานที่เขาคุม โปรตุเกส การทำได้แค่รองแชมป์ ยูโร 2004 ในบ้านตัวเอง การไปไม่ถึงฝัน ใน บอลโลก 2006 และ ล่าสุด ตกรอบอย่าง หมดสภาพในยูโร 2008 บ่งบอกในตัวบิ๊ก ฟิล เป็น อย่างดี ทางด้าน อาร์เซน่อล เจ๊แหวง แก ผ่าตัดทีมมากมาย เป็นทีม สายเลือดใหม่ไม่มีประสบการณ์ นั่นเป็นปัจจัยภายนอกที่เป็น เหตุผลที่ดีที่ว่าในปีนี้จะเป็นปีของเรา เดี๋ยวคราวหน้ามาพูด กัน ถึงปัจจัย ภายใน ที่จะทำให้ เรากลับคืนสู่ บังลังค์กันในฤดูกาล นี้ แล้ว เจอกันครับ…………………..
Dr.Know

คืนสโมสรมาให้พวกเราเถอะ

Posted in Uncategorized on November 9, 2008 by bertbert

article-0-007ebb6e00000578-860_468x329

เจ้าของทีมร่วมแห่งสโมสรลิเวอร์พูล จอร์จ ยิตเลตต์ และทอม ฮิกส์ ถูกกดดันจากแฟนๆ ให้รีบขายสโมสรออกไปสักที

แชร์ลิเวอร์พูลเอฟซี ซึ่งพยายามรวบรวมหุ้นส่วน 100000 คน เพื่อจะซื้อสโมสรกลับมาอยู่ในการครอบครองของแฟนๆ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ยิตเลตต์และฮิกส์ให้ช่วยขายสโมสรแห่งนี้ให้กับแฟนๆ เหล่าเดอะค๊อป

แต่ทั้งคู่ได้ออกมาปฏิเสธตลอดเรื่องการขายสโมสร อย่างไรก็ตาม ได้มีรายงานออกมาว่า ทั้งคู่กำลังมองหาผู้ซื้ออยู่

ในขณะเดียวกัน ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักในเรื่องนี้ แต่ทางกลุ่มแชร์ลิเวอร์พูล ได้แสดงเจตจำนงอย่างจริงจังในการขอซื้อสโมสรในครั้งนี้

แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่า ทางกลุ่มมีความกระตือรือร้นอย่างมากในเรื่องนี้ แต่ปัญหาก็คือ ยังไม่แน่ชัดว่า จะหาเงิน 600 ล้านปอนด์มาจ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของอเมริกันทั้งสองนี้ได้หรือไม่

ในจดหมาย ซึ่งได้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Time ระบุว่า “พวกเราเข้าใจดีว่า พวกคุณตัดสินใจ ที่จะขายหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลออกไป และกำลังหาผู้ที่จะมารับช่วงต่ออยู่ ซึ่งจากความเห็นส่วนใหญ่ของแฟนๆ พวกเราก็เห็นด้วย 100% กับการตัดสินใจของพวกคุณ”

“พวกเราอยากจะซื้อสโมสรนี้กลับมาอยู่ในการครอบครองของแฟนบอล และอยากให้คุณได้นั่งคุยกับพวกเราในเรื่องนี้ พวกเรามั่นใจว่า ถ้าคุณเต็มใจที่จะขายให้กับพวกเราในราคาที่ยุติธรรม พวกเราสามารถรับเสนอนั้นได้ ซึ่งอาจมาจากการแฟนบอล หรือผู้สนับสนุนรายอื่น”

และยังกล่าวต่อว่า “พวกเราต้องให้สโมสรอันเป็นที่รักของพวกเรา ได้เดินไปในแนวทางที่ถูกที่ควร เพื่อความสำเร็จของสโมสร, แฟนๆ และทุกคน

“พวกเราเชื่อว่า พวกเราช่วยสร้างโอกาสให้คุณทั้งสอง สามารถจบปัญหาเหล่านี้ลงได้ ซึ่งทางออกนี้ จะสร้างความพอใจแก่ทุกฝ่าย

“การกระทำเช่นนี้ จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก และการขายสโมสรให้กับแฟนๆ จะเป็นการคืนคุณค่าให้กับสโมสรที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษ และเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีแฟนๆ สนับสนุนดีที่สุดในโลก

“พวกเราอยากให้คุณจากสโมสรไปอย่างสง่างาม จอร์จ ในบทสัมภาษณ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คุณบอกว่า “เป้าหมายของพวกเราตั้งแต่เริ่มต้นก็คือ การเพิ่มสิ่งต่างๆ ลงไปเพื่อความรุ่งโรจน์ของสโมสร และจากคำพูดนี้ คุณสามารถทำมันได้ง่ายๆ เพียงแค่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง และนั่นคือ ขายสโมสรให้กับแฟนๆ ซะ

ราฟากับสัญญาฉบับบใหม่

Posted in Uncategorized on November 8, 2008 by bertbert

rafa

ผมเห็นน่าสนใจเลยขอแปลให้อ่านกันครับ เพราะผมคิดว่าการต่อสัญญาของราฟาถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออนาคตของสโมสรลิเวอร์พูลอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน เหมือนเดิมก่อนเกมส์การแข่งขันทุกครั้งราฟาจะเปิดโอกาสให้นักข่าวซักถามในประเด็นต่างๆ เป็นเวลา 5 นาทีระหว่างการเตรียมทีมเพื่อเจอกับเวสบรอมฯ และเรื่องราวในวันนี้เกี่ยวกับเกมส์นี้ มาราโดน่าและสัญญาฉบับใหม่ของราฟาเอง

ราฟาข่าวใหญ่สำหรับวันนี้คือเรื่องความก้าวหน้าสำหรับสัญญาของคุณ ดังนั้นคุณบอกเราได้มั๊ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นครับ? นักข่าวยิงคำถามแรก

ผมได้รับโทรศัพท์จาก Tom Hicks ซึ่งก็เป็นในนามของ George Gillett ด้วย และมันเป็นไปในแง่บวก ผมตอบโอเคและเราจำเป็นต้องทำมันให้เร็วเนื่องจากตอนนี้ทีมกำลังทำได้ดี ดังนั้นแล้วผมไม่อยากให้มีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน พวกเขาบอกกับผมว่าจะได้มีการติดต่อกันอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้าและหวังว่าเรื่องนี้จะสำเร็จลุล่วงไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ข่าวนี้เป็นข่าวที่ดีมากสำหรับคุณใช่มั๊ย?

ใช่แน่นอนครับ ตอนนี้ผมอยู่ในที่ที่ผมต้องการจะอยู่ ผมมีความสุขมากที่นี่และผมรู้สึกว่าทีมเราแข็งแกร่งมากๆ ซึ่งคุณสามารถเห็นได้จากพัฒนาการของทีมอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเรื่องสนามแห่งใหม่ในอนาคตด้วยและผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้

มันเหมือนกับว่าตอนนี้คุณกำลังพูดถึงแผนในระยะยาว คุณต้องการสัญญาใหม่แบบไหน คุณเคยพูดติดตลกว่าระยะเวลา 20 ปี?

ใช่ครับ ระยะเวลาของสัญญามันสำคัญสำหรับผมเพราะว่าเราได้พัฒนาขุมกำลังมาเกือบ 5 ปีแล้วดังนั้นผมต้องการรู้ว่าในอนาคตเราสามารถเป็นผู้ท้าชิง รวมทั้งเราต้องการชนะการแข่งขันเพื่อคว้าถ้วยแชมป์ให้มากขึ้น ดังนั้นแล้วระยะเวลาของสัญญามันจึงสำคัญมากๆ สำหรับผม

คุณพูดถึงระยะเวลา 5 ปี ดังนั้นระยะของสัญญา 5 ปีน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมั๊ย?

มันชัดเจนแต่ผมไม่สามารถพูดถึงสิ่งนี้ได้ในเวลานี้ผมจำเป็นต้องคุยกับเอเยนต์ของผมก่อนแล้วเราคงจะได้เห็นกัน ผมต้องการอยู่ที่นี่ไปยาวนาน

สิ่งสำคัญคือคุณต้องการให้มันลุล่วงไปเพื่อไม่ให้มันเบี่ยงเบนความสนใจไปจากสิ่งที่คุณกำลังทำในสนามใช่มั๊ย?

ใช่ครับ มันชัดเจนว่าเราต้องดำเนินการให้รวดเร็ว การพบปะน่าจะเป็นสัปดาห์หน้าและผมหวังว่ามันจะลุล่วงไปด้วยดีในอีกสัปดาห์ถัดไป ผมหวังว่ามันจะไม่ใช่เวลามากเกินไปนักเพราะผมไม่ต้องการไปในทุกเพรสคอนเฟอเรนท์แล้วพูดถึงแต่เรื่องสัญญาของผม มันไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับทีมและไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับสโมสรเช่นเดียวกัน

มาเรื่องฟุตบอลบ้าง เกมส์กับสเปอร์และแอตฯ มาดริดเป็นเกมส์ที่เล่นกันเร็วและนั่นทำให้ผู้เล่นของคุณอัดอั้นตันใจบ้างมั๊ย?

ผมคิดว่าหากคุณมองแค่เพียงผลการแข่งขันคุณอาจจะพูดว่า OK มันไม่ใช่เกมส์ที่ดีที่สุด แต่ทีมก็เล่นได้ดีในเกมส์กับสเปอร์และมันไม่น่าเชื่อเลยที่เราต้องแพ้เกมส์นั้น เกมส์กับแอตฯ มาดริด ผมค่อนข้างประหลาดใจเกี่ยวกับแนวทางที่สื่อสเปนพูดถึงมากเกินไปเกี่ยวกับลูกจุดโทษ เรารู้ว่าคุณสามารถพูดถึงเรื่องจุดโทษได้แต่มันก็ชัดเจนว่าเราเป็นทีมที่ดีกว่าแอตฯ มาดริด เราบุกและมีโอกาสหลายครั้ง ผมคิดว่าเราพยายามทำประตูถึง 22 ครั้งในขณะที่พวกเขามีโอกาสแค่ 7 ครั้งเอง ดังนั้นผมคิดว่าเราดีกว่ามาก เราไม่ได้เล่นเกมส์ที่สุดยอดแต่พวกเขามี 11 ผู้เล่นอยู่หลังบอลเป็นเรื่องปกติ ผมคิดว่าเราสมควรชนะในสองเกมส์นี้

คุณได้คาดหวังถึงการกลับมาของเฟอร์นานโด ตอเรสและรอบบี คีนกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง?

ผมก็คิดเช่นนั้น หากเรามีตอเรสที่ฟิตมันชัดเจนว่าเขาสามารถทำประตูได้มากและเขาทำแบบนั้นมาแล้วเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มันจะง่ายสำหรับเราและเราจะมีโอกาสในการทำประตูมากที่ชัดเจนขึ้นอย่างไรก็ตามตอนนี้เรากำลังเล่นได้ดีและเต็มไปด้วยความมั่นใจ Kuyt, Ngog และ Keane ต่างก็ทำงานหนัก คุณต้องให้เครดิตกับพวกเขาเช่นเดียวกัน

เอาละ เราพูดถึงกองหน้ากันและคุณเกริ่นถึงตอเรส ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?

เขาฟิตครับ คำถามสำหรับเราคือเขาได้รับการฝึกซ้อมอย่างเหมาะสมและเขาก็ไม่ได้อยู่กับทีมไปช่วงหนึ่ง ดังนั้นเราจำเป็นต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าเขาจะได้เล่นเป็นตัวจริงหรือไม่แต่เขาจะอยู่ในทีมวันนี้แน่

แล้วเมื่อไหร่คุณจะตัดสินใจล่ะ?

ผมจะคุยกับเขาวันนี้ละ และอาจจะเป็นหลังจากให้สัมภาษณ์นี้แหละ และเราจะตัดสินใจกันในวันพรุ่งนี้ (จริงๆ ก็วันนี้แล้ว)

เรื่องที่คนเป็นห่วงเกี่ยวกับรอบบี คีนในเรื่องจำนวนประตูของเขา คุณคิดว่าเขาเป็นผู้เล่นประเภทที่ว่าเขาต้องการกองหน้าตัวถล่มประตูอยู่รอบๆ เขาหรือเขาอาจต้องการความช่วยเหลือสักหน่อย?

ผมคิดว่าเขามีความมั่นใจและมีประสบการณ์ ผมเคยคุยกับเขาว่า OK ผมพอใจในตัวคุณมากเพราะคุณทำงานหนักและนี่เป็นหนทางในการพัฒนาตนเอง ผมเข้าใจว่าเมื่อผมให้เขาเล่นด้วยตัวของเขาเอง มันอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แต่ตราบใดหากทีมอยู่หัวตารางและยังคงชนะ หลังจากนั้นคุณไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก พวกเราจะพยายามลองดูว่าหากเราสามารถใช้งานเขาและให้ความช่วยเหลือบางอย่างกับเขาได้ และหวังว่าเขาจะทำประตูจำนวนมากให้กับเราได้

เราเห็นรถสีดำคันใหญ่อยู่ข้างนอก Diego Maradona มาอยู่ที่นี่ ปฏิกิริยาของนักเตะที่ได้เจอเขาเป็นยังไงบ้าง?

มันยากที่จะพูดคุยกับเขา เนื่องจากเวลาที่เราคุยกันจะมีสตาร์ของเราสองคนเข้ามาและขอลายเซนต์เขา หลังจากนั้นนักเตะอีก 15 คนมาถึงและพูดว่าต้องการถ่ายรูปกับเขา แต่เขาเป็นคนดีและน่ารัก อดทนกับทุกคน ดังนั้นมันเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยละ

ดังนั้นผู้เล่นของคุณทุกคนต้องการถ่ายรูปกับ Diego Maradona?

โอ..หลายคนเลยครับ ทั้งเจอร์ราด คาร์ร่า คีน อลองโซ่ซึ่งพ่อของเขาเล่นกับมาราโดน่าที่บาร์เซโลน่า นอกจากนี้ยังมีเรน่าและผู้เล่นเยาวชนอีกหลายคนอย่าง Insua, Spearing, และFlynn อีกมากมายเลย

มันชัดเจนว่าเขาต้องการมาพบกับมาสเคราโนและเขาอาจจะกลายเป็นกัปตันทีมอาร์เจนตินาคนต่อไป?

อาจเป็นเช่นนั้นครับ ผมได้คุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าพวกเขาได้มีการนัดเจอกันอีกครั้งและพวกเขาจะได้พูดถึงทางเลือกนี้เพราะว่ามาสค์เล่นด้วยคาแรกเตอร์มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจะเป็นกัปตันได้หากเขาต้องการแต่ในที่สุดแล้วมันจะเป็นการตัดสินใจของเขาเอง

สก็อต คาร์สันย้ายไปร่วมทีมเวสบรอมฯ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเพื่อที่จะได้เล่นเป็นตัวจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเขาไม่ใช่แค่เป็นนายประตูระดับทีมชาติที่พบว่าเรย์น่าเป็นพวกที่ไม่อาจแย่งตำแหน่งได้ในลิเวอร์พูล และนั่นเป็นการบอกถึงว่าเรน่ามีคุณภาพดีแค่ไหน?

ใช่ครับ แต่คาร์สันเป็นประตูที่ดีมากและผมหวังว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นหมายเลขหนึ่งของทีมชาติอังกฤษเพราะเขายังเด็กและก็ทำงานหนักมาก แต่เรน่าเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ เขาเคยได้รับรางวัลถุงมือทองคำถึงสามครั้งที่นี่และนั่นดีมากและเขามีคาแรกเตอร์ที่ดีมาก มันยากที่จะแย่งตำแหน่งจากเขา

จากที่ทุกคนพูดถึงกันเขาเป็นคนที่ปอบปูล่าในห้องแต่งตัวใช่หรือไม่?

ใช่ครับ เรน่าจะมีอารมณ์ขันเสมอและเขาก็ปอบปูล่าแต่ผมคิดว่าเพื่อนร่วมทีมเคารพนับถือเขาที่ความเป็นมืออาชีพมากกว่า

เกมส์กับเวสบรอมฯ เป็นเกมส์ที่คุณคาดหมายว่าจะชนะและนั่นมันทำให้ยากขึ้นหรือเปล่าเนื่องจากพวกเขาอาจเล่นแบบสโตคและได้รับการชื่นชม?

ผมคิดว่าพวกเขาพยายามที่จะเล่นฟุตบอล โดยปกติแล้วทีมสามารถที่จะเอาแต่ป้องกันและป้องกันประตู แต่คุณไม่สามารถรู้ได้หรอกเนื่องจากพวกเขาแพ้มาแล้วหลายเกมส์และบางครั้งมันเป็นเรื่องยาก บางครั้งผู้จัดการทีมพวกเขาอาจจะพยายามแค่ป้องกันประตูและพยายามทำประตูจากจังหวะสวนกลับ แต่จริงๆ แล้วผมไม่รู้หรอกมันขึ้นอยู่กับพวกเราเอง หากเราสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องหลังจากนั้นเราจะชนะอย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากเสมอในเกมส์พรีเมียร์

พวกเขามีกองหน้าตัวเป้าตัวใหญ่อย่าง Ishmael Miller ซึ่งเขาอาจจะผีเข้าผีออก แต่เขาอาจสร้างปัญหาได้ในวันของเขาใช่หรือไม่?

ใช่ครับพวกเขามีพวกผู้เล่นตัวใหญ่หลายคนและหลายคนที่เล่นกับบอลได้ดี แต่ก็นั่นแหละมันขึ้นอยู่กับพวกเราเองจริงๆ หากพวกเราสามารถผ่านบอลและเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นเราจะมีโอกาสเอง

ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคารพเวสบรอมฯ นะแต่เหมือนที่เรารู้ผลต่างประตูได้เสียจะมีผลในตอนท้ายฤดูกาล นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่คุณบอกผู้เล่นที่จะต้องมุ่งมั่นยิงประตูได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่?

มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับเพราะว่าสิ่งแรกที่เรามองหาคือชัยชนะ หลังจากนั้นหากเราชนะและเล่นได้ดี OK เราถึงพยายามยิงประตูให้ได้มากขึ้น แต่เรามีความเคารพนับถือพวกเขาดังนั้นแล้วเรารู้ว่าสิ่งสำคัญคือการทำประตูแรก ปิดเกมส์และเล่นให้แน่นอนมากขึ้น

คุณพูดถึงหลายครั้งเกี่ยวกับแนวทางที่สมาคมฟุตบอลสเปนปฏิบัติต่อตอเรสเมื่อเขาไปเล่นให้ทีมชาติ คุณหวังให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติที่จะมาถึงเร็วๆ นี้หรือไม่?

ผมไม่รู้เหมือนกัน ผู้จัดการทีมระดับสโมสรแค่คิดถึงผู้เล่นของตนเอง ขณะที่ผู้จัดการทีมชาติก็คิดถึงผู้เล่นที่เขามีดังนั้นแล้วมันขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง

จริงๆ แล้วมันเป็นแค่เกมส์กระชับมิตรไม่ใช่หรือ?

ผู้จัดการทีมทุกคนต้องการเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุดเพื่อทำงานด้วยทั้งนั้นแหละครับ

คุณจะผิดหวังมั๊ยหากเขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติ?

ผมแค่ต้องการอยากที่จะเห็นผู้เล่นทั้งหมดของผมในการฝึกซ้อม ในช่วงเบรกทีมชาติครั้งล่าสุด พวกเราฝึกซ้อมกับผู้เล่นเพียงแค่สองคน ไม่ไม่ใช่การซ้อมฝ่ายละ 5 คน แต่มันเป็นฝ่ายละคนเอง

เดี๋ยววกกลับมาเรื่องสัญญาของคุณอีกครั้ง คุณต้องการที่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่ออกไปก่อนคริสต์มาสใช่หรือไม่?

ความคิดของผมคือต้องการเซ็นมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปล. ยาวโคตรๆ ลิ้นห้อยเลย

หงส์แดงกับความผูกพันกับเด็กเก่า

Posted in Uncategorized on November 8, 2008 by bertbert

 

 

louis20garcia20celebration20photo20champs20of20europe

วันนี้เรามาอ่านบทความเกี่ยวกับหงส์แดงกับเด็กเก่า ที่เป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ไม่มีข่าวที่ไม่ดีเหมือนนักเตะบางทีมที่ไปเยือนทีมเก่าแล้วไปจูบตราสโมสรใหม่เย้ยแฟนเก่า ( ไม่ได้ว่าใครนะในที่นี้)

 

เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลลงทำศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ กับ แอตเลติโก มาดริด ทีมเก่าของ เฟอร์นันโด ตอร์เรส และทีมใหม่ของ หลุยส์ การ์เซีย

เชื่อว่า The kop ทุกคนหวังไว้ก่อนเกมส์ว่า ทั้งตอร์เรสและหลุยส์ การ์เซีัยจะได้ลงสนามเผชิญหน้ากับทีมเก่า แต่ก็ไม่ ตอร์เรสยังคงนั่งดูอยู่บนอัฒจรรย์ และหลุยส์ การเซียเป็นเพียงตัวสำรอง เกมส์ในสนามเป็นไปอย่างไม่สวยงามนัก ลิเวอร์พูลเล่นไม่ดีเลย จังหวะขาดๆเกินๆตลอด กดดันแอตเลติโกฯ ไม่ได้มากนัก และถูกยิงนำไปก่อนจากลูกสวนกลับ แต่สุดท้ายเราก็ยังโชคดีได้จุดโทษท้ายเกมส์ ทำให้เสมอกันไปแบบเป็นประเด็นคาใจหลายๆคน

ประเด็นอะไรที่เกิดขึ้นหลังเกมส์ จะขอไม่พูดถึง เพราะมันก็เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว ใครจะว่าอะไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เราอยากจะยืนยันกับเรื่องนี้ก็แค่ว่า “ลิเวอร์พูลเล่นไม่ดีน่ะ …ใช่ แต่เราก็ไม่ได้โกงเพื่อ 1 แต้มนี้แน่นอน”

สิ่งที่อยากจะพูดถึงจริงๆก็คือ การลงสนามในฐานะตัวสำรองของ หลุยส์ การ์เซีย

วินาทีที่เท้าของเขาก้าวข้ามเส้นขาวข้างสนาม ลงเหยียบพื้นหญ้าในสนามแอนฟิลด์ เสียงปรบมือของเหล่า The kop ในสนามดังกึกก้อง

หลุยส์ การ์เซีย เองก็คงจะตื้นตันใจกับเสียงนั้น The kop อีกหลายล้านคนที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ก็คงจะซาบซึ้งกับภาพที่ได้เห็น ตอนนั้น ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในใจจากการที่ทีมเราเล่นกันไม่ค่อยดีมลายหายไปสิ้น รู้สึกดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่ได้เห็น ได้ยิน ผ่านจอสีเหลี่ยม น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางคิดในใจว่า ‘ถ้าเรามีโอกาสได้อยู่ในแอนฟิลด์ในช่วงเวลาแบบนี้ เราคงอดไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ’

มันเป็นความพิเศษสุดจริงๆ และตราอยู่ในความทรงจำของเรายิ่งกว่าเกมส์การแข่งขันเสียอีก พาลให้นึกถึงวันลาของ THE GOD ที่เรามีโอกาสได้เห็นเพียงแค่ภาพนิ่ง ก็ยังรู้สึกอบอุ่นไปกับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างนักเตะและแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลกอย่าง The kop

ภาพหลุยส์ การ์เซีย กอดกับสตีเว่น เจอร์ราร์ด หลังเกมส์แว่บเข้ามาในสมอง

…ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่ว่าโลกจะหมุนไปอย่างไร ความรักและความผูกพันที่ผู้คนมีให้กันจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเราไว้เสมอ ถึงจะเป็นแค่สายใยบางๆ แต่ก็เหนียวแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ

อย่างที่เราได้เห็นกันอยู่เสมอๆในสโมสรฟุตบอลแห่งความรัก ความผูกพันแห่งนี้ ที่ซึ่งทำให้ผู้คนทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาได้รับรู้และสัมผัสว่า “เราคือลิเวอร์พูล” และภาคภูมิใจในความเป็น “ลิเวอร์พูล” ตลอดไป

และไม่ว่าคุณจะเดินจากเราไปนานแค่ไหนก็ตาม คุณก็จะไม่มีวันเดินคนเดียว

YOU’LL NEVER WALK ALONE.

ถึงเวลาที่ลิเวอร์พูลต้องฝ่าด่านความยากลำบาก

Posted in Uncategorized on November 7, 2008 by bertbert

5903643

ทุกทีมไม่ว่าจะเป็นทีมไหนจะต้องเจอปัญหาและต้องเจอเวลายากลำบาก ซึ่ง Tottenham Hotspurs ก็ได้เจอไปแล้วตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล และ ดูเหมือนปัญหาเหล่านั้นเริ่มจะคลี่คลาย อาร์เซน่อลก็เช่นกันที่เจอปัญหากองหลังฟอร์มหลุดและกองหน้าก็ใช้โอกาสเปลือง ซึ่ง ณ เวลานี้ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลก็กำลังเจอปัญหาความยากลำบากเช่นกัน

ปัญหาจากการขาดศูนย์หน้าอย่างตอร์เรส และ ความเฉียบคมในการทำประตู
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า คีนยังไม่สามารถเรียกฟอร์มสุดยอดของเขาได้ และคีนก็ยังไม่สามารถทดแทนการขาดหายไปของตอร์เรสได้ ซึ่งหากมองนักเตะลิเวอร์พูลในตำแหน่งหน้าเป้า ไม่ว่าจะเป็นบาเบล เค้าท์ หรือ คีน สิ่งที่ขาดหายไปคือความเฉียบคมในการทำประตู แต่การรอคอยเพียงตอร์เรส และ การฝากความหวังเพียงตอร์เรสก็เป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับทีมลิเวอร์พูลเกินไป เพราะตอร์เรสจะต้องเจอปัญหาเกมหนักจากกองหลังจากทีมคู่แข่งจนอาจจะบาดเจ็บได้
สิ่งที่บาเบลและคีนต้องฝ่าด่านความยากลำบากไปให้ได้คือ การทำประตูที่เฉียบคม รวมทั้งการใช้โอกาสการทำประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ บาเบล และ คีน มีสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่แล้วและพวกเขาได้แสดงให้เห็นมาหลายนัดคือการครองบอลได้อย่างเหนียวแน่น และ ความเร็ว ซึ่งหากเขาทั้งคู่สามารถเรียกฟอร์มเก่งในการทำประตูคืนมาได้เมื่อไร ปัญหาเรื่องการทำประตูและเกมรุกของลิเวอร์พูลก็จะดีขึ้น

ปัญหาจากแรงกดดันจากการทำผลงานได้ดีในช่วงต้นฤดูกาล และ การกระโดดขึ้นเป็นผู้นำในตารางพรีเมียร์ลีก
จริงๆแล้วผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ลิเวอร์พูลชนะเชลซี แต่ไม่มีโอกาสเพราะไม่ว่างเลย อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าตอนนี้นักเตะลิเวอร์พูลหลายคนเริ่มมีปัญหาจากแรงกดดัน สาเหตุเพราะนักเตะทุกคนต้องการผลงานที่ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่งที่หนึ่งในตารางพรีเมียร์ลีกไว้ให้ได้ แต่แรงกดดันดังกล่าวก็เป็นแรงกดดันที่มหาศาลนัก ยิ่งทีมอันดับสองที่ไล่ตามมาติดๆ สามารถแสดงผลงานการแข่งขันที่ยอดเยี่ยม
เชลซีพ่ายลิเวอร์พูลก็เพราะสาเหตุนี้ และ ลิเวอร์พูลพ่ายทีมไก่ก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน การแข่งขันนี้ก็เปรียบเสมือนกีฬาจักรยาน และ การวิ่งมาราธอน ผู้นำจะต้องเจอแรงลมปะทะ และ แรงกดดันจากผู้ที่ไล่ตามมาอย่างติดๆ ซึ่งหากผู้นำไม่สามารถฉีกหนีได้จากสามารถทิ้งระยะห่างได้ระดับหนึ่ง ผู้ไล่ตามย่อมมีโอกาสไล่แซงขึ้นมาได้ในจังหวะสุดท้าย ในฤดูกาลนี้ต้องยอมรับว่าเชลซีแกร่งจริง และ พร้อมกว่าลิเวอร์พูลในด้านตัวผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูงกว่าและตัวสำรองแต่ละคนสามารถทดแทนตัวจริงได้อย่างดี (อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้) และในเกมที่พ่ายให้กับสเปอร์ส ลิเวอร์พูลเจอแรงกดดันที่เชลซีสามารถเก็บสามแต้มได้ก่อน ทำให้ลิเวอร์พูลจะต้องชนะให้ได้เพื่อรักษาช่องว่างของคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก แต่แรงกดดันบวกกับฟอร์มการเล่นของสเปอร์ส ก็ทำให้ลิเวอร์พูลต้องผิดหวัง
การแพ้ครั้งแรกในฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูล ผมมองได้สองแง่ ซึ่งในแง่ร้าย การพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจจะทำให้ลิเวอร์พูลแกว่งอย่างน้อย 1- 2 นัด ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดช่องว่างของคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก จนลิเวอร์พูลไม่สามารถกดดันเชลซีได้ และ อาจจะทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไล่บี้กับลิเวอร์พูลจนอาจจะทำให้เกิดปัญหาสภาพจิตใจของนักเตะและผลงานของทีม แต่ในแง่ดี การพ่ายแพ้ครั้งนี้จะลดแรงกดดันของนักเตะลิเวอร์พูล ซึ่งจะทำให้ลิเวอร์พูลสามารถเล่นได้ดีขึ้น รวมทั้งลิเวอร์พูลจะสามารถไล่ตามเชลซีไปเรื่อยๆจนถึงการแข่งขันกับเชลซีในถิ่นแอนฟิลด์ ซึ่งหากลิเวอร์พูลสามารถทำได้เช่นนี้ ผมเชื่อว่าเชลซีจะเจอแรงกดดันมหาศาลและเชลซีอาจจะต้องโดนลิเวอร์พูลเล่นงานอย่างแน่นอน ผมเชื่อค่อนข้างเชื่อว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้จะเป็นการลดแรงกดดันของนักเตะมากกว่า และเ ชลซีก็ต้องเจอแรงกดดันมหาศาลจากผู้ไล่ตาม

ปัญหานักเตะที่ยังขาดหายไป
จากการเริ่มต้นฤดูกาลที่ดีของลิเวอร์พูลด้วยผลงานคะแนนที่เทียบเท่าเชลซี แต่ลิเวอร์พูลก็ยังมีปัญหานักเตะในหลายตำแหน่งยังไม่ครบและพร้อมที่จะสู้รบกับทีมอื่นในการแย่งชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก

ตัวรับริมเส้นกราบขวา (แบ็คขวา)
ตำแหน่งที่เห็นชัดที่สุดคงเป็นตำแหน่งแบ็คขวา ที่เดเก้นเล่นบาดเจ็บจนราฟาเอล เบนิเตซออกอาการเซ็ง จนอาเบลัวจะต้องสามารถลงเล่นได้ทุกนัด แต่หากอาเบลัวบาดเจ็บหรือฟอร์มหลุด ตำแหน่งนี้ก็ยังมีเพียงคาราเกอร์ที่สามารถเล่นได้ แต่ตำแหน่งกองหลังตัวกลางก็จะเกิดปัญหา ดังนั้นผมเชื่อว่าเราน่าจะได้เห็นตัวเตะใหม่ในตำแหน่งนี้ในช่วงเดือนมกราคม

ปีกขวา
ในความเห็นส่วนตัวนอกจากเค้าท์แล้ว ในกลุ่มตัวสำรองที่สามารถเล่นได้ในตำแหน่งนี้มีเพนแนนท์ และ เบนายูน ซึ่งผมยังมองว่าทั้งสองคนยังไม่สามารถทดแทนเค้าท์ได้ ดังนั้นผมเชื่อว่าตำแหน่งปีกขวาของลิเวอร์พูลน่าจะมีปีกขวาธรรมชาติอย่างเช่นริเอร่าที่เป็นปีกซ้ายธรรมชาติ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นลิเวอร์พูลจะมีความพร้อมในการทำเกมรุกจากริมเส้นทั้งสองด้าน

ปีกซ้ายและกรณีของเกเร็ธ แบร์รี่
ตอนนี้ดูเหมือนว่าริเอร่าจะสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในตำแหน่งปีกซ้ายของลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนราฟาเอล เบนิเตซจะนิยมใช้งานบาเบลในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้ามากกว่าปีกแล้วด้วย ในเดือนมกราคมผมก็ยังหวังว่าลิเวอร์พูลน่าจะได้แบร์รี่ที่มีศักยภาพในการเล่นได้หลายตำแหน่ง แต่ผมก็เชื่อว่าอลอนโซ่จะอยู่ภายในทีมลิเวอร์พูลต่อไป ซึ่งงานนี้ก็ต้องดูว่าราฟาเอลยังต้องการแบร์รี่อยู่หรือไม่และ แบร์รี่ยังต้องการมาลิเวอร์พูลอีกหรือเปล่า

ในตำแหน่งกองหน้าผมไม่เชื่อว่าลิเวอร์พูลจะซื้อกองหน้าเพิ่มเพราะปัจจุบันกองหน้าลิเวอร์พูล มีเยอะมาก (คีน เค้าท์ บาเบล ตอร์เรส เอ็นก๊อก) และตำแหน่งอื่นมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไขมากกว่า ส่วนในตำแหน่งกองหลังตัวกลางจะมีใครเพิ่มหรือไม่ ข้อนี้ต้องดูว่า Skrtel หายเจ็บเมื่อไรและพร้อมลงเล่นได้เร็วแค่ไหน ในส่วนของตำแหน่งแบ็คซ้ายผมยังมองว่าราฟาเอล เบนิเตซน่าจะยังใช้ดอสเซน่า ออเรลิโอ และ อินซัวในตำแหน่งนี้ต่อไป และ หากได้แบร์รี่มาอยู่ลิเวอร์พูลจริง ตำแหน่งที่มีตัวแทนที่สามารถเล่นได้มีแบ็คซ้าย กองกลางตัวรับ กองกลางตัวรุก และ ปีกซ้าย (ซื้อหนึ่งเหมือนได้สี่)

ตอนนี้ลิเวอร์พูลคงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้โดยจำเป็นต้องใช้ขุมกำลังที่มีเหลืออยู่ให้ดีที่สุด และ หากลิเวอร์พูลสามารถยึดตำแหน่งอันดับสองได้จนถึงเดือนมกราคม และสามารถรักษาคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีกได้เทียบเท่าเชลซี ลิเวอร์พูลก็มีโอกาสแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ เพราะเชลซีก็สามารถเจอปัญหาฟอร์มหลุดได้เช่นกัน

ยามเมื่อหงส์ต้องการเพื่อน

Posted in Uncategorized on November 6, 2008 by bertbert

 

 

8-20081102072059

 

วันนี้มีบทความดีๆจากทางเวป หงส์มาร มาให้อ่านกันนะครับ คนเขียน เขียนได้ดีใช้ได้เลยทีเดียว

เพื่อน..คือบุคคลหนึ่งที่เรารู้จักและสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้อย่างชอบใจและไว้ใจกันในระดับหนึ่ง และแยกออกได้ดังนี้ 


เพื่อนสนิท…คือบุคคลหนึ่งซึ่งเหมือนกันคนแรกที่กล่าวไปแต่จะเป็นเพื่อนที่คุณนึกถึงคนแรกและสามารถพูดคุยถึงเรื่องราวบางเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่านี้และเป็นเพื่อนคนที่เราไว้ใจที่สุดและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 


เพื่อนแท้…คือบุคคลหนึ่งซึ่งเหมือนๆกับเพื่อนสนิท แต่บุคคลเหล่านี้มักจะโผล่มาอยู่กับเรายามเราเป็นทุกข์เสมอ โดยที่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น แต่บุคคลประเภทนี้บางทีอาจจะไม่ใช่คนที่คุณนึกถึงคนแรก เพราะเขาอาจจะโผล่มาแบบที่เราไม่คาดคิด และนับเป็นบุคคลที่หายากที่สุด 


เพื่อนกิน..คือ บุคคลหนึ่งซึ้งจะโผล่มา ยามที่เรา สุข มีเงิน มีชื่อเสียงและมีผลประโยชน์ แต่เมื่อเราหมดในสิ่งที่มีอยู่ เขาก็หายไปในบัดดล 


เพื่อนระยำหมา… คือ บุคคลหนึ่งซึ่ง เราเผลอไปเรียกว่าเพื่อน และเขาก็เรียกเราว่าเพื่อน คุณสมบัติของบุคลลนี้คล้ายกับ”เพื่อนกิน”ดังที่กล่าว แต่..ทำไมถึงระยำหมาล่ะ?? เพราะว่าบุคคลเหล่านี้ นอกจากจะหวังแดกหวังพึ่งผลประโยชน์จากเรา มันยังไม่เคยช่วยเหลืออะไรเรา และแถมยังเสือกแทงหลัง และเอาเราไปต่อว่าด่าทอเสียๆหายๆ แทนที่จะยื่นมือมาช่วย เสือกยื่นตีนมากระทืบซ้ำ ไอ้เพื่อนanimalยังงี้ แม่งโคตรเหี้ย!!! 

(ไม่รู้จะนิยามคนแบบนี้ว่าไง เลยใช้คำว่า “ระยำหมา” ละกัน) 


ผมเป็นคนนึงที่เจอเพื่อนๆมาทุกแบบที่กล่าวมามีทั้งดีและไม่ดีปนๆกันไป เหมือนกับตัวผมซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับบางคนและเป็นเพื่อนที่แย่สำหรับบางคน ซึ่งผมก็เข้าใจว่า คนเราไม่ได้Perfectไปซะทั้งหมด มันก็ต้องมีแย่บ้างเป็นธรรมดา 


เช่นเดียวกับLiverpool ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนคนนึงของผมและผมก็เป็นเพื่อนของเขา ผมไม่ขอใช้คำว่า”แฟนหงส์” นะ เพราะคำว่าแฟนมันเลิกกันได้ แต่คำว่า “เพื่อนหงส์”เนี่ยสิ มันเลิกยาก(นอกจากจะระยำหมา) 


ผมติดตามดูLiverpool มาตั้งแต่ปี’88 ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่รุ้จักทีมอะไรเลยนอกจาก Mun utd. และ Liverpool แต่ผมเลือกที่จะรู้จักกับLiverpool เพราะ ฟาวเลอร์ กับ แมคก้า เมพคิ๋งๆเลยตอนนั้น แต่หลายปีผ่านแล้วผ่านเล่า Liverpoolก็ยังไม่เคยสัมผัสกับถ้ายแชมป์สูงสุดในอังกฤษ ตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก เป็นเวลา18ปีแล้ว แต่ก็ยังได้แชมป์ยุโรปติดมือในยุคนี้ 

ถ้าถามว่า..เวลาที่เพื่อนของคุณคนนี้ลงเล่นแล้วชนะกลับมาหรืออาจจะแพ้กลับมาในแต่ละนัด คุณจะรู้สึกยังไง และจะพูดอะไรออกมา 

สำหรับผมน่ะเหรอ..ชนะผมก็ดีใจ มีความสุข นอนตีพุงหลับสบาย 

แล้วตอนที่แพ้ล่ะ.. ผมก็แค่เงียบ ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่เกิด เข้าใจและเสียใจในสิ่งที่เพื่อนก็เจ็บเหมือนกัน ก็ได้แต่บอกเพื่อนไปว่า “ไม่เป็นไรเว้ย เอาใหม่” แม้เพื่อนคนนั้นจะอยู่ไกลเกินที่จะได้ยินก็ตาม 


แต่ก็จะมีเพื่อนระยำหมาโผล่มาอยู่เป็นระยะ ซึ่งมันเรียกตัวเองว่า “เพื่อนหงส์” มันมักจะต่อว่าเพื่อนของมันเวลาที่เพื่อนมันแพ้(แต่ไม่บ่อย)…และเพื่อนคนนั้น ก็เป็นเพื่อนรักของผมด้วย แรกๆก็ไม่ได้คิดไรมากหรอกครับกับเรื่องแบบนี้ แต่เพื่อนรักของผมชนะกลับมา(ซึ่งก็ชนะบ่อยอยู่นะ) “เพื่อนหงส์”คนนั้นก็แสดงปฏิกิรยาอย่าง “เพื่อนระยำหมา!!!” ต่อว่าด่าเพื่อนตัวเองทั้งๆที่เขาก็ชนะกลับมา ซึ่งผมก็เริ่มไม่ค่อยชอบกับบุคคลประเภทนี้ซักเท่าไร ถ้ามึมึงเป็นพวกผีแดง สิงห์ ปืน กูจะไม่เคืองเท่านี้เลย 

Posted in Uncategorized on November 5, 2008 by bertbert

 

 

GERRARD: MYAUTOBIOGRAPHY Part 3

Posted in Uncategorized on November 4, 2008 by bertbert

6-gerrard-2

บทที่ 3
วันเวลาในโรงงานแห่งความฝัน

การได้เข้าไปมีส่วนร่วมในสโมสรลิเวอร์พูลเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นความรัก ซึ่งคุณๆ ทุกคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลคงเข้าใจดีเหมือนกันหมดว่าเป็นรักไม่รู้จบที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหือดแห้ง คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายที่แอนฟิลด์ ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่ลิเวอร์พูลผมเองมีโอกาสเลือกไปอยู่กับสโมสรชั้นนำแห่งไหนๆ ก็ได้ มีหลายสโมสรมาเชื้อเชิญให้ผมไปฝึกฟุตบอลด้วยอยู่เนืองๆ  แมน ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม,เอฟเวอร์ตัน,สเปอรส์ หรือสโมสรดังๆ ที่ไหนลองเอ่ยชื่อมาเถอะ มีทั้งนั้น

ผมได้รับจดหมายจากสโมสรต่างๆ ส่งมาให้ที่บ้านอยู่ตลอด ล้วนแล้วแต่พรรณนาว่าพวกเขาต้องการผมมากแค่ไหน ต่างยืนยันว่าจะทำให้ผมรุ่งเรืองเมื่อเลือกไปอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา “เราจะสร้างคุณให้ยิ่งใหญ่” จดหมายเหล่านั้นบอกเหมือนๆ กัน “ร่ำรวยและมีชื่อเสียงโด่งดัง” 

คำเชิญชวนเหล่านี้ไม่มีผลกับผม จุดหมายปลายทางแห่งเดียวที่ดีที่สุดคือแอนฟิลด์ พ่อยืนกรานและปลูกฝังผมมาตลอด แอนฟิลด์เหมาะที่สุด คิดดูการได้ไปฝึกฟุตบอลกับสโมสรที่ผมบูชาได้เรียนกับตำนานฟุตบอลที่มี “ความเชื่อใจ” เป็นเครื่องหมายประจำตัว มีนักฟุตบอลที่เป็นคนดี ซื่อตรง ทำหน้าที่ดูแล โรงเรียนฟุตบอลเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นอะคาเดมี่ ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนที่เคิร์กบี้

ครั้งแรกที่ผมได้พบกับสามแกนหลักของโรงเรียนฟุตบอลเยาวชนลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์, เดฟ แชนนอน และฮิวอี้ แมคคอเลย์ ผมรู้โดยสัญชาติญาณได้ทันทีว่าพวกเขาจะดูแลผมเป็นอย่างดี บอกได้ชัดเจนจากการจับมือที่หนักแน่นและอบอุ่น รวมไปถึงการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งแรกที่พบกัน

สตีฟเป็นตำนานคนหนึ่งของลิเวอร์พูล นักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยมจากยุคปี 1970 เดฟรู้จักสนิทสนมกันดีกับ เบน แมคอินไทร์ ผู้จัดการทีม วิสตัน จูเนียร์ ทีมฟุตบอลซันเดย์ลีกที่ผมเล่นอยู่ และนี่เป็นการก้าวอย่างง่ายๆ จากวินสตันมาสู่ลิเวอร์พูล ตอนแรกผมยังเล่นให้กับวินสตันไปควบคู่กัน และได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกที่นั่น ในการแข่งขันทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปี กับทีมอื่นๆ จากทั่วทุกมุมโลก แต่ความสนใจหลักของผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลเท่านั้น

ผมแทบรอจะเริ่มต้นไม่ไหว มาเร็ว ส่งลูกบอลมาให้ผม สอนให้ผมเรียนรู้แล้วผมจะแสดงให้ดูว่าผมทำอะไรได้บ้าง ความฝันของผมเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว ไฮเวย์,แชนนอน และแมคคอเลย์จัดให้มีการฝึกซ้อมที่น่าประทับใจทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดีที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงส์เตอร์ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดในแต่ละสัปดาห์ ผมเฝ้านับวันเวลาในแต่ละอาทิตย์ที่จะได้ไปโบยบินที่โรงยิมของศูนย์  สถานที่ที่เปรียบเสมือนแอนฟิลด์ หรือแม้แต่เวมบลีย์สำหรับเรา

นอกจากจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชฝีมือเยี่ยมแล้ว การมาฝึกฟุตบอลที่ลิเวอร์พูลผมยังได้เพื่อนร่วมทีมที่เข้าขาอีกด้วย ไมเคิล โอเว่น และเจสัน คูมาส เรียนรุ่นเดียวกับผมที่ลิเวอร์พูลและเราเข้ากันได้ดีอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงดึงดูดจากพรสวรรค์ของเรา

เราทั้งสามคนเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าจะตักตวงสิ่งที่ดีที่สุดจากเวอร์นอน แซงส์เตอร์ได้อย่างไร เราจับมือทักทาย สตาฟฟ์ทุกคนด้วยความนับถือตามวิถีของลิเวอร์พูล เราฝึกทักษะ ซ้อมครองบอล และอื่นๆ อยู่เป็นชั่วโมง แต่ยังก่อน ตอนที่ดีที่สุดยังจะมีตามมาหลังสุด ไมเคิล,เจสัน และตัวผมเอง รู้ว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนจะได้เล่นเกมฝั่งละห้าคน

“คนที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูลไปอยู่ด้านโน้น” เดฟ แชนนอนตะโกนสั่ง “คนที่เหลืออยู่อีกด้าน”

เด็กๆ หลายคนใส่เสื้อผ้าต่างๆ นาๆ มาซ้อม แต่ผม ไมเคิล และเจสันเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เรานัดกันเรื่องเสื้อที่จะใส่ล่วงหน้า เพื่อว่าถึงตอนแบ่งทีมห้าคนเราก็ได้อยู่ทีมเดียวกันเสมอ

“ดีละ” ไมเคิลเสนอ “งั้นคราวหน้าเราก็ใส่เสื้อชุดเยือนลิเวอร์พูลมาเหมือนกันนะ”

ผมกับเจสันจะมาซ้อมในเสื้อลิเวอร์พูลแบบเดียวกันเสมอ เมื่อไหร่ที่เรานัดกันใส่ชุดที่ผมไม่มี ผมก็จะอ้อนวอนขอพ่อกับแม่ตลอดทางที่พวกท่านมารับผมกลับบ้าน

“พ่อ แม่ ผมต้องมีเสื้อตัวนี้ ไม่อย่างนั้นผมกับไมเคิล กับเจสันจะไม่ได้เล่นทีมเดียวกัน นะครับๆๆๆๆ”

พ่อแม่ที่น่าสงสาร ผมกดดันพวกท่านเต็มที่ นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถพร่ำอธิบายว่าผมจะขายหน้าแค่ไหนถ้าไม่มีชุดที่ถูกต้อง ปกติพ่อกับแม่ก็จะยอมให้ผมตลอด ขอบคุณพระเจ้า ความคิดที่ว่าผมจะต้องทำให้ไมเคิลกับเจสันผิดหวังทำให้ผมแทบไม่สบาย

เจสันเองเล่นฟุตบอลได้ดี เขาตั้งความหวังจะเล่นฟุตบอลอาชีพให้ได้ แต่ไมเคิลโดดเด่นที่สุด แม้จะด้วยวัยเพียง 8 ปี ไมเคิลก็พิเศษกว่าเด็กอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเหมือนดาวจรัสแสง ทุกๆ คนที่รู้จักเขารู้ดีว่า ไมเคิลถูกส่งมาโลกใบนี้เพื่อทำลายล้างผู้รักษาประตูทุกคน ในการฝึกซ้อมฝั่งละห้าคนที่ศูนย์กีฬาเวอร์นอนฯ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่นร่วมทีมกับไมเคิล เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้สัมผัสพรสวรรค์อันไม่น่าเชื่อของเขา

ไมเคิลเล่นฟุตบอลเด็กในแถบเมอร์ซี่ไซด์มาตลอดและทำลายสถิติทุกสถิติที่เคยมีมาในแถบดีไซด์ ตอนที่เขาเร่งฝีเท้าเต็มสปีดในเกมที่ศูนย์เวอร์นอนฯ ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุนมาเยือน วินาทีที่ได้เห็นไมเคิลวิ่งเข้าหาผู้รักษาประตู ฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความเร็วและการจับบอลอันสวยงาม ผมรู้สึกชื่นชมพรสวรรค์ที่เหนือธรรมดาของเขา พรสวรรค์ที่ไม่ใช่แค่พูดแต่ถึงกับตะโกนให้โลกได้รับรู้ จากสัมผัสแรกผมเข้าใจทันทีว่าเกมของไมเคิลคือการล่าประตูโดยธรรมชาติ ส่วนไมเคิลก็ตระหนักว่าผมผ่านบอลได้ดี เราทั้งสองจึงเล่นเข้าขากันได้ตั้งแต่ต้น

คนอื่นๆ เข้าใจว่าผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันตลอดเพราะเราสนิทกัน แต่เปล่าเลย ผมกับไมเคิลเลือกเล่นข้างเดียวกันเสมอเพื่อเหตุผลเดียวกัน ชัยชนะ ง่ายๆ แค่นั้นเอง นั่นคือเส้นทางสายเดียวที่ผมกับไมเคิลเลือกเสมอ เราทั้งคู่เกลียดการพ่ายแพ้ หลังเกมจบเราคุยกันเสมอแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องฟุตบอล ผมส่งบอลให้ไมเคิลในตำแหน่งที่เขาจะสร้างความเสียหายได้มากที่สุด
จนทุกวันนี้ผมกับไมเคิลยังมีเรื่องขำขันเกี่ยวกับวันเวลาที่เราเล่นอยู่ในทีมลิเวอร์พูลชุดอายุต่ำกว่า 12 ปี ไมเคิลจะพูดเสมอว่า “ทุกครั้งที่สตีวี่ได้บอลก็จะส่งต่อให้ผม” และผมมักจะจบประโยคด้วย “และทุกครั้งที่ผมส่งให้ ไมเคิลก็ยิงประตู”
ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นการได้ร่วมทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูลดูจะไกลเกินฝัน ในวัยเด็กผมแค่มุ่งมั่นไปกับการพัฒนาตัวเองภายใต้การฝึกสอนของสตีฟและเดฟ ผมจะหัวเสียถ้าผมไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในการฝึกซ้อม บนรถระหว่างเดินทางไปศูนย์เวอร์นอน แซงส์เตอร์พ่อจะกรอกหูผมตลอดเวลาเรื่องรักษาวินัย

“ต้องพร้อมเสมอ” พ่อเน้น

“อย่าคุยตอนซ้อม และทำให้ดีที่สุดเสมอ”

การเกื้อหนุนของพ่อไม่มีวันจบ เมื่อผมเริ่มไปฝึกฟุตบอลจริงๆ จังๆ พ่อไม่เคยพูดสักคำถึงเรื่องทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ พ่อแค่มุ่งสมาธิไปยังแต่ละเกมที่รออยู่ข้างหน้าหรือไม่ก็การฝึกซ้อมคราวต่อไปเท่านั้น

ผมจำได้มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมเกิดเหนื่อยและคิดว่าไม่อยากไปฝึกซ้อม พ่อพาผมไปนั่งที่ห้องโถง

“ทำไมถึงไม่อยากไปเรียนฟุตบอล” พ่อถามเหตุผล

“ถ้าลูกอยากหยุดพ่อจะโทรไปบอกโค้ชไฮเวย์ให้เองว่าวันนี้ลูกเรียนหนักที่โรงเรียน”

พ่อไม่ได้กดดันผมมากจนเกินไป สิ่งที่พ่อทำคือการให้กำลังใจผมตลอดมา

“สตีเว่น ลูกควรไปซ้อมมันจะดีกับตัวลูกเอง” พ่อเสริม “ลูกจะต้องสนุกแน่ ลูกจะต้องทำได้ดี”

พ่อเชื่อมั่นในตัวผมเป็นอันมาก รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวโค้ชอย่างสตีฟและเดฟ

“ถ้าลูกตั้งใจเรียนและพัฒนาตัวเองเสมอ โค้ชจะปั้นให้ลูกเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจแน่ๆ”

พ่ออธิบาย

“ถ้าลูกไม่ไปซ้อมเด็กคนอื่นๆ ก็จะแซงหน้าลูกเพียงเพราะลูกขาดซ้อม พ่อจะไม่บังคับให้ลูกไป แต่ยิ่งลูกไปฝึกซ้อมบ่อยลูกก็ยิ่งจะได้เรียนรู้มากขึ้นและเล่นดียิ่งๆ ขึ้น”

ด้วยคำพูดของพ่อ ผมก็เปลี่ยนใจไปฝึกซ้อมในวันนั้น
พ่อแม่ของผมรู้เสมอว่าลิเวอร์พูลต้องการนักฟุตบอลที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีอยู่วันหนึ่งผมได้ยินพ่อคุยกับแม่

“สตีฟ ไฮเวย์ และเดฟ แชนนอนมักจะคอยดูเสมอว่านักฟุตบอลของพวกเขาทำตัวยังไง เราต้องให้สตีเวนเป็นตัวแทนที่ดีของลิเวอร์พูล”

มีมาตรฐานหลักๆ ที่ลิเวอร์พูลตั้งไว้ ต้องเรียบร้อย, ต้องตรงเวลา พ่อกับแม่ไม่มีวันยอมให้ผมออกจากบ้านไปศูนย์กีฬาหรือไปทำกิจกรรมอะไรเกี่ยวข้องกับทีมลิเวอร์พูลเด็ดขาด ถ้าทรงผมของผมไม่เรียบแปล้จนเงาวับหรือชุดที่ใส่ไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง บางครั้งผมอยากใส่รองเท้าคู่เก่งไปศูนย์กีฬาเวอร์นอน แซงสเตอร์ รองเท้าที่ทั้งเก่าทั้งมีรูพรุนอันเนื่องมาจากเผชิญเกมหนักหน่วงจากริมถนนไอร์ออนไซด์มาแล้วอย่างโชกโชนรองเท้าสุดรักของผม

“ลูกจะไม่ใส่รองเท้าคู่นั้นไปซ้อมนะ” พ่อยืนกราน “เดี๋ยวจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้”

แม่เองถึงกับรีดชุดซ้อมฟุตบอลให้ผม

รีดเนี่ยนะ!

ผมได้แต่ยืนมองอย่างอัศจรรย์ใจตอนที่แม่จับจีบแขนเสื้อด้วยเตารีด เสื้อกลีบโง้งไร้รอยยับย่นบ่งบอกถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้าของแม่ที่จะทำให้ผมดูหล่อเนี๊ยบที่สุด ไม่มีใครที่ไหนรีดเสื้อผ้าฟุตบอลกันนอกจากแม่ผม ชุดเสื้อกับกางเกงจะถูกจัดให้เข้าคู่กันเป็นอย่างดี ผมจะใส่เสื้อทีมเหย้าลิเวอร์พูลกับกางเกงชุดเยือน หรือกางเกงสเปอรส์กับเสื้อลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดแม่ไม่มีวันยอมให้มีความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้น

“ลูกต้องเคารพต่อทีมลิเวอร์พูล” แม่บอกเสมอ

พ่อแม่ผมสุดแสนจะภาคภูมิใจที่ลูกชายได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูล พวกท่านต้องการแน่ใจว่าผมจะทำดีที่สุดเสมอ ไม่กลายเป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ หรือ ดีแต่ปาก

ภายใต้การปลุกปั้นโดยสตีฟและเดฟ ผมได้รับความเชื่อถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในลิเวอร์พูล เมื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของทุกๆ ปีผมมักกังวลว่าสตีฟจะเก็บผมไว้ในทีมไหม ผมกระวนกระวายเฝ้ารอจดหมายยืนยันจากทางลิเวอร์พูล

“บอกสตีเวนว่าไม่ต้องวิตก” ไฮเวย์บอกพ่อผมทุกปี “เขาจะได้เล่นที่นี่แน่นอน ที่นี่มีรองเท้าเตรียมไว้ให้เขาเสมอ”

ผมทำผลงานดีมาตลอดค่อยๆ สร้างชื่อและสนุกสนานไปกับการฝึกซ้อม ตอนที่ผมอายุ 14 สตีฟเรียกพวกเราสี่คนให้เข้าไปพบที่ห้องทำงาน มีผม, ไมเคิล, สตีเฟ่น ไรท์ และนีล เมอร์ฟี่

ไรท์ตี้เล่นให้ลิเวอร์พูลช่วงสั้นๆ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมกับซันเดอร์แลนด์ ส่วนเมอร์ฟี่เคยเล่นตำแหน่งแบ๊คขวาให้กับทีมสำรองลิเวอร์พูล ปัจจุบันเขาไปสอนเด็กๆ ที่อะคาเดมี่

ในตอนนั้นสตีฟมีข่าวดีสำหรับเราทั้งสี่ “พวกเธอได้รับคำเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้าที่ลีลล์แชล”

ลีลล์แชล! โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ ผมแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่เป็นสุดยอดสำหรับเส้นทางนักเตะอาชีพ มีแต่คนที่เก่งที่สุดถึงจะเข้าเรียนที่นี่ได้ พระเจ้าช่วย! นรกช่วย! นี่เป็นความจริงใช่ไหม ลีลล์แชลเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนสปริงบอร์ดสู่ความสำเร็จ การทดสอบฝีเท้าต้องเต็มไปด้วยการแข่งขันเข้มข้น ผมเข้าใจดี ทุกๆ คนอยากเข้าโรงเรียนทีมชาติกันทั้งนั้น
ในการคัดตัวรอบแรกจะมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมเป็นร้อยๆ คนมาจากทุกพื้นที่ในอังกฤษ ทุกๆ คนฝันถึงสิ่งเดียวกัน โอกาสได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชล หลังจากการทดสอบฝีเท้าต่อเนื่องจำนวนคนที่ได้อยู่ต่อก็จะเหลือน้อยลงๆ พร้อมกับความใฝ่ฝันของเด็กบางคนที่ถูกทำลายลง จากนั้นก็จะมีการคัดเหลือ 50 คน, 30 คน และท้ายที่สุดจะเหลือแค่ 24 คน เป็นเรื่องโหดร้าย มีคนเพียงน้อยนิดที่จะรอดชีวิต

หลังจบการคัดตัวแต่ละรอบผมก็จะได้รับจดหมายที่บ้าน “ขอแสดงความยินดี คุณได้รับคัดเลือกไปคัดตัวรอบต่อไป” ผมตัวลอย ลีลล์แชลอยู่แค่เอื้อม

ในรอบลึกๆ การแข่งขันยิ่งเข้มข้น นอกจากผมกับไมเคิล โอเว่น ยังมีนักเตะดีๆ อีกมากมายอยู่ในเส้นทางเดียวกัน อย่างเช่น ไมเคิล บอลล์ แบ๊คซ้ายฝีเท้าเยี่ยมของเอฟเวอร์ตันที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับเรนเจอร์ส, เคนนี่ ลันท์ ยอดมิดฟิลด์จากถิ่นครูว์ อเลกซานดร้า

ผมยังคงฝันหวานถึงที่ของผมในลีลล์แชล เวลาว่างผมก็แอบสำรวจฟอร์มคู่ต่อสู้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ ไม่มีใครอื่นเก่งกว่าผม ด้วยความสัตย์จริง ไม่มีสักคน ผมไม่เคยเขินอายในเวลาทดสอบ ผมยืนถูกตำแหน่ง,แทคเกิลหนัก และส่งบอลอย่างชาญฉลาด เจ้าหน้าที่ของลีลล์แชลจะต้องประทับใจแน่ ผมเล่นไปตามฟอร์มของตัวเองโดยมีแรงผลักดันจากความมุ่งมั่นเต็มที่เพื่อชัยชนะจนแทบเจ็บปวด ผมมีความสามารถ อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครผ่านบอลได้ดีกว่าผม ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรของผมและลิเวอร์พูลรับแต่เด็กชั้นดีเข้าร่วมทีม ลีลล์แชลต้องเลือกผมเข้าทีมอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อด้อยหนึ่งเดียวที่ผมคิดได้คือคู่แข่งทุกคนตัวใหญ่กว่าผม ผมตัวเล็กจริงๆ ในตอนนั้นและต้องเผชิญหน้ากับเด็กที่สูงใหญ่และแข็งแรงกว่าผมในตำแหน่งเดียวกัน ไมเคิล โอเว่นก็ตัวเล็กแต่เขามีความเร็วที่ทำให้คู่แข่งคนอื่นกลายเป็นถังขยะไร้ค่า แต่สำหรับผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

ตอนแรกรูปร่างดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมก้าวหน้าไปเรื่อยๆ กับการทดสอบแบบคัดออกที่ลีลล์แชลล์ คำตอบรับดูจะเป็นของตาย ผมเริ่มคิดถึงการใช้เวลาสองปีที่นั่น เรียนรู้ที่จะก้าวไปเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ ทางด่วนสู่ชื่อเสียงและโชคดี
ทุกๆ เช้า ผมออกงิ้วกับบุรุษไปรษณีย์เมื่อพบเขาที่หน้าบ้าน

“มีจดหมายไหมครับ? จดหมายจากลีลล์แชลล์ของผมอยู่ที่ไหน”

การทดสอบรอบสุดท้ายผ่านไปแล้วผมรู้ดีว่าจดหมายอยู่ระหว่างทาง กิจกรรมทั้งหมดของครอบครัวหยุดนิ่งระหว่างเรารอจดหมายฉบับเดียวนี้ เช้าวันหนึ่งผมได้รับจดหมายในที่สุด ผมอยู่บนบ้านยังไม่ออกจากห้องนอน พ่อไปที่ตู้จดหมายเป็นคนแรกหยิบจดหมายออกจากตู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นจดหมายจากโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ พ่อเปิดจดหมายออกอ่านโดยรู้ดีว่าจดหมายนี้สำคัญกับผมเพียงไร ผมได้ยินเสียงพ่ออยู่ที่ประตูพ่อเปิดซองดึงจดหมายออกมา

ความเงียบแทบฆ่าผม “ใช่แล้ว!” พ่อต้องตะโกนลั่นไปแล้ว แต่เปล่าเลย พ่อแค่บอกกับผม “จดหมายมาแล้ว”

ความผิดหวังในน้ำเสียงของพ่อไม่ต่างอะไรกับเสียงระฆังกังวานจากงานศพในโบสถ์ เมื่อผมลงไปถึงชั้นล่างผมเห็นพ่อยืนอยู่ที่ห้องโถงถือจดหมายเอาไว้ความผิดหวังแสดงชัดบนใบหน้า ลีลล์แชลไม่รับผม

หัวใจผมแหลกสลาย วิ่งกลับขึ้นห้องนอน พระคริสต์ทรงโปรด น้ำตามันช่างไหลมาจากไหนไม่รู้ ไม่หยุดหย่อน นี่คือจุดจบ มันเลวร้ายเหลือเกิน พ่อเดินขึ้นบันได้ตามมาช้าๆ รับรู้ถึงความโศกเศร้าของผม พ่อรู้ดีว่าผมอยากเข้าเรียนที่ลีลล์แชลเหลือเกิน พ่อเดินเข้ามาในห้องนอนมองดูผมนอนเอาหมอนปิดหน้า ผมเสียใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด น้ำตาทะลักออกมาไม่หยุด ความฝันเรื่องอาชีพฟุตบอลของผมพังทลายไม่มีชิ้นดี

ผมรู้สึกว่าผมไม่ดีพอ ผมเนี่ยนะ! กัปตันทีมลิเวอร์พูลบอยส์ นักเตะที่ได้รับการยอมรับที่ลิเวอร์พูล แม้แต่สโมสรยักษ์ใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยไล่ตามผม ถ้ามีคนของลีลล์แชลสักคนอยู่ในห้องกับผมด้วยผมจะฆ่าเขา พวกเขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไงกัน? ผมรู้ว่าผมเก่งพอ ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าผมไม่ดีพอ ไม่มีเลย ความผิดหวังครั้งแรกทำผมเจ็บปวดปางตาย กลัวเหลือเกินที่ข่าวจะต้องแพร่สะพัดไปทั่วลิเวอร์พูล

ไมเคิลต้องได้เข้าลีลล์แชลแน่นอนอยู่แล้ว เจมี่ คาราเกอร์และเด็กอื่นๆ จากลิเวอร์พูล รวมทั้งเจมี่ แคสสิดี้ก็เรียนที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว รวมไปถึงทอมมี่ คัลชอวส์ มิดฟิลด์จากลิเวอร์พูลก็ได้ไป ผมแค่ต้องการไปร่วมเรียนกับพวกเขา

พ่อแค่อยากช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมเปิดหมอนออกมองหน้าพ่อผ่านม่านน้ำตา

“ผมทนไม่ได้หรอก อาชีพฟุตบอลคงจบเห่” ผมระบาย

พ่อเยี่ยมยอดเหมือนเคย ปาดน้ำตาให้และปลอบโยน

“ฟังนะลูก ลูกทำดีที่สุดแล้วจนมาถึงจุดนี้” พ่อบอกกับผมขณะนั่งบนขอบเตียง

“พ่อดูลูกตอนทดสอบฝีเท้าทุกครั้งและลูกไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ที่นั่น บางทีที่ลีลล์แชลไม่รับลูกอาจเพราะลูกตัวเล็กไป หรือไม่พวกเขาก็อาจสอบถามไปที่คาร์ดินัล ฮีแนนแล้วรู้สึกว่าลูกอาจทนไม่ไหวถ้าต้องจากบ้านไปถึงสองปี นี่ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่ใช่นักฟุตบอลที่ดีสักนิด ลูกเป็นคนเก่ง พ่อรู้ ลูกรู้ และที่สำคัญลิเวอร์พูลก็รู้เรื่องนี้”

ในความผิดหวังแทบตายผมค่อยเบาใจได้กับคำพูดของพ่อ บางทีอาจไม่เกี่ยวอะไรกับฝีเท้าของผมเลยก็ได้ ในจดหมายจากลีลล์แชลพวกเขาไม่ได้อธิบายเหตุผลที่แน่ชัดอีกด้วย

“คุณเป็นผู้เล่นที่ดี อย่ายอมแพ้” พวกเขาเขียนไว้ “บางครั้งไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลที่เราเลือกคนอื่นให้ก้าวไปอีกขั้นแทนคุณ มีเหตุผลอื่นประกอบอีกมากมาย”

เหตุผลบ้าบออะไรกันเล่า!!
เสียงหนึ่งกระซิบในหัวผม  เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮายตันเป็นพื้นเพที่พวกชั้นสูงอย่างโรงเรียนแห่งชาติดูแคลน โรงเรียนลีลล์แชลคิดว่าผมจะเป็นพวกเด็กบ้านนอกมารยาททรามที่จะไปทำให้พวกนักเรียนดีๆ เสื่อมเสียงั้นหรือ? ผมไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด ด้วยความสัตย์จริง ผมทำตัวเงียบๆ ตอนไปทดสอบฝีเท้าทุกครั้ง เรียบร้อยและสุภาพ ผมทำสิ่งถูกต้องเสมอ

ก่อนการไปทดสอบฝีเท้าสตีฟ ไฮเวย์ เตือนพวกเราแล้วว่าสตาฟฟ์ที่ลีลล์แชลจะเฝ้าดูเราตลอดแม้แต่เวลารับประทานอาหารว่าเราสุภาพหรือไม่ ผมพยายามวางตัวให้ดีสุดความสามารถ

อะไรคือ “เหตุผลอื่นๆ” ที่พวกเขาอ้างเล่า ผมรู้ว่าทางโรงเรียนจัดประชุมพวกผู้ปกครองระหว่างการทดสอบฝีเท้าด้วย

พ่อแม่ถูกถามคำถามเกี่ยวกับตัวผม “สตีเว่นมีอุปนิสัยอย่างไร, เรียนใช้ได้ไหม, เขาจะมาอยู่ไกลบ้านได้หรือเปล่า”

พ่อกับแม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวผมในเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น พวกท่านหนุนหลังลูกชายเต็มร้อยแน่นอนอยู่แล้ว ทางโรงเรียนลีลล์แชลอาจเห็นว่าผมคงไม่อาจรับมือกับการต้องไปอยู่ห่างบ้าน ต้องแยกจากครอบครัวที่ผมบูชา แน่นอนว่าผมเกลียดการต้องไปอยู่ที่อื่น จนทุกวันนี้ ในใจผมยังคงสงสัยมาตลอดว่าจริงๆ แล้วจะดีหรือไม่ถ้าผมได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลจริงๆ ครั้งนั้น ถึงผมจะคิดเหตุผลได้ร้อยแปดตามที่พ่อชักจูง ทั้งเรื่องพื้นเพของผมที่เป็นคนฮายตันและความคิดถึงบ้าน แต่ลึกๆ แล้วผมยังคงรู้สึกว่าเป็นเพราะผมตัวเล็กเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลีลล์แชลปฏิเสธผม

ไม่มีเหตุผลใดๆ ช่วยบรรเทาความเสียใจได้ ความโกรธของผมที่ลีลล์แชลหันหลังให้ผมอย่างเย็นชาไม่มีวันจางหาย การที่พวกเขาไม่เลือกผมถือเป็นคำดูแคลนที่เป็นส่วนตัวสุดๆ  สิ่งนี้ยังคงค้างคาในใจผมคำวิจารณ์ที่มีต่อตัวผมโดยตรง ความทรงจำของการถูกปฏิเสธไม่เคยจางหาย ผมไม่ละทิ้งฟุตบอล พ่อเป็นคนที่คอยพูดให้กำลังใจผม พ่อเป็นคนที่มีเมตตาและเข้าใจอะไรๆ ดี แม้จะได้รับคำปลอบโยนที่แสนอบอุ่นจากพ่อ แต่ความผิดหวัง, อับอาย และขมขื่นยังคงค้างคาในใจผมเสมอมา กระนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

“พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดสิลูก” พ่อเตือน

ด้วยหัวใจหนักอึ้งผมกลับไปฝึกซ้อมที่ลิเวอร์พูล สตีฟ ไฮเวย์รอผมอยู่แล้ว เขาพาผมไปที่ห้องทำงานเป็นอย่างแรกจับผมนั่งเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง

“ฉันดีใจนะที่เธอไม่ได้เข้าลีลล์แชล” เขาพูด “ฉันไม่อยากหลอกเธอ”

ผมประหลาดใจสุดๆ  “คนเจ้าเล่ห์” ผมคิดในใจ

“ฉันไม่อยากให้เธอเข้าลีลล์แชลได้” สตีฟอธิบาย “ไมเคิลก็ด้วย ฉันเห็นแก่ตัวรู้ไหม ฉันอยากให้เธออยู่ที่ลิเวอร์พูล ฉันรู้ว่าเธอเสียใจแต่ไว้ใจฉันเถิดสตีเว่น ฉันรู้ว่าฉันจะสอนเธอได้ดีกว่าที่ลีลล์แชลจะทำได้”

ในตอนนั้นผมไม่เชื่อที่เขาบอก ไมเคิลกำลังเตรียมเดินทางไปสู่การผจญภัยใหม่ เขาจะได้รับการฝึกสอนโดยโค้ชที่เก่งที่สุดในประเทศ ไมเคิลสมควรได้รับโอกาสนั้น ขอให้เขาโชคดี

“ฉันตื่นเต้นแทนนาย” ผมบอกกับไมเคิลทั้งที่ในใจเจ็บปวด เมื่อเขามาบอกลา

ผมเองก็อยากมีโอกาสเก็บของไปลีลล์แชล ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปไขว่คว้าโอกาสเช่นเดียวกับไมเคิล ผมไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เมื่อมองไปยังที่นั่งและล็อคเกอร์ของไมเคิลที่ว่างเปล่าผมลิ้มรสชาติความล้มเหลวที่ผมเกลียดชัง ผมคิดว่าถ้าสตีฟหนุนหลังผมผมก็คงเข้าเรียนที่ลีลล์แชลได้ ต้องใช้เวลานานมากกว่าผมจะเข้าใจเจตนาดีของสตีฟ
เพราะไม่ได้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลทำให้การก้าวเดินขึ้นบันไดสู่ทีมชาติของผมช้าลง ในฟุตบอลระดับเยาวชนมีเรื่องของความลำเอียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เล่นของ โรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติ  จะได้เข้าร่วมทีมชาติชุดยู15 โดยอัตโนมัตเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก เห็นได้ชัด และไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

เรื่องนี้ทำเอาผมหัวเสีย มิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่แซงหน้าผมไปเล่นที่ลีลล์แชลก็มี เคนนี่ ลันท์และ เจมี่  เดย์ ของอาร์เซนอล และริชาร์ด เคลเลอร์ จากสคาร์โบโร่ แน่นอนพวกเขาติดทีมชาติชุด ยู15 โดยอัตโนมัติ เหมือนมีคนบอกว่านี่ไงล่ะเสื้อทีมชาติของพวกนาย เลือกเอาตามสบายได้เลย

ผมเดือดพล่านด้วยความขุ่นเคืองกับทางด่วนที่เด็กอื่นได้รับ ตัวผมเองได้แต่นั่งอยู่ที่บ้านเฝ้านึกถึงผู้เล่นมิดฟิลด์คนอื่นวิ่งกันอยู่บนพื้นสนามอันสวยงามที่ลีลล์แชล สนุกสนานไปกับการฝึกสอนประจำวันและมีคนหยิบยื่นกุญแจประตูห้องแต่งตัวทีมชาติ ยู15 ให้กับมือ มีการออกอากาศเกมของพวกเขาทางช่องสกาย ส่วนผมได้แค่จินตนาการเห็นภาพตัวเองเล่นเกมออกทีวีทั่วประเทศแบบนั้น

การได้ดูเกมเหล่านั้นทรมานผมเหลือหลาย ผมนั่งดูเกมอยู่กับพ่อเฝ้าดูมิดฟิลด์คนอื่นๆ ที่อายุเท่าผมแต่ฝีเท้าไม่เท่า ผมโวยวายหน้าทีวีเมื่อได้ยินผู้บรรยายเกมยกย่องนักเตะในชุดสิงโตคำราม เหล่านั้น ผมแทบเดินหนีไปจากหน้าทีวีด้วยความโกรธเกลียด แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ฉุดผมจนลุกไปจากที่นั่นไม่ได้ ผมรักที่จะดูไมเคิลโชว์ฝีเท้าในทีวี

พวกลีลล์แชลทำผลงานได้ไม่ดีนัก ผมแอบหวัง ภาวนาทุกวันให้พวกเขานึกได้ว่าทำผิดพลาด แย่แล้ว! เราทิ้งเด็กที่ยอดเยี่ยมจากลิเวอร์พูลคนหนึ่งไป ชื่ออะไรนะเจ้าหนูนั่น? เจอราร์ดใช่ไหม ไปตามเขากลับมาดีกว่า ผมเฝ้าฝันถึงจดหมายประทับตราไปรษณีย์ชร็อพไชร์ขออภัยในการมองข้ามที่สุดแสนจะน่าเกลียดและบอกให้ผมเข้าไปร่วมแคมป์ของพวกเขาโดยด่วน ประตูดูเหมือนจะเปิดช่องให้เห็นบ้างเมื่อผู้เล่นจากอาร์เซนอลออกจากลีลล์แชลไป กลางคัน

ไมเคิลโทรมาบอกกับผม “มีการคุยกันว่าจะหาคนมาแทน”

ทำเอาผมนอนไม่หลับคืนนั้น ผมนอนอยู่บนเตียงเฝ้าคิดถึงคำพูดของไมเคิล ใจผมเก็บข้าวของไปลีลล์แชล์แล้วด้วยซ้ำไป พวกเขาจะต้องเรียกตัวผมแน่ๆ แต่ก็เปล่า ไม่มีโทรศัพท์หรือจดหมาย ความหวังเหือดแห้งลงอีกครั้ง…
เจ็ดเดือนต่อมาความโกรธแค้นของผมต่อลีลล์แชล์ได้รับโอกาสสุดวิเศษที่จะได้ระบายออก ทีมโรงเรียนฟุตบอลแห่งชาติจะมาที่สนามเมลวู้ดที่ซึ่งเด็กๆ ของโค้ชไฮเวย์ใช้เป็นสถานที่แข่งขันอยู่ในเวลานั้นเพื่อแข่งขันกับพวกเรา

ขอบคุณพระเจ้า!

51819938AL005_Liverpool

ผมเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี ผมมองเกมนี้เป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ สารภาพตามตรง ผมใช้คืนก่อนเกมการแข่งขันทำความสะอาดรองเท้าจนเอี่ยม ดูให้แน่ใจว่าสตั๊ดดูดีเฉียบขาดเหมือนของพวกเด็กๆ ทีมชาติ

พ่อเตือนผมให้เพลาๆ ลงบ้าง “ลูกจะเสียหน้า” พ่อบอกผมอย่างนั้น “ลูกต้องเจออย่างนั้นแน่ ลูกก็รู้พวกเด็กๆ จากโรงเรียนระดับชาติเก่งกว่าลูกมาก”

ผมได้แต่ตอบส่งๆ ไป “ครับพ่อ ครับๆ ผมรู้แล้ว” แต่ในใจเร่าร้อน

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะต้องไปชกมวยในเกมวันศุกร์ ผมลืมตาตื่นตลอดคืนเหมือนกลัวว่าถ้าหลับไปผมจะอ่อนแอ ลดความเกรี้ยวกราดในหัวใจลง ในตอนเช้าผมตรงดิ่งไปยังเมลวู้ดเต็มไปด้วยคลื่นของอะดรีนาลีนและความขุ่นข้อง สตีฟยังเห็นได้ชัดถึงไฟในดวงตาผม

“ระวังหน่อยสตีเว่น” เขาเตือน “เธออาจเจ็บตัวได้”

“พวกเขาจะได้รับรู้” ผมตอบ “พวกเขาทุกคนจะต้องได้รับการตอบแทนที่สาสม ผมจะทำให้พวกลีลล์แชล พวกเขาทุกคนเลยเห็นว่าพวกเขาทำผิด”

สตีฟพยายามยกเหตุผลมาคุยกับผม แต่ไม่มีวันเสียละ ภารกิจของผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว

และเมื่อผมได้เห็นเด็กๆ จากลีลล์แชลเดินแถวผ่านตึกในเมลวู้ดอย่างสง่างามและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแบบนักเตะทีมชาติ ไฟร้อนแรงก็เผาผลาญข้างในผมเหมือนอยู่ในนรก ผมยิ่งกว่าถูกผีสิง มาถึงตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าผมยับยั้งตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปอัดพวกนั้นติดกำแพงได้อย่างไร

“มาเริ่มกันเลยดีกว่า” ผมคิด “มาเลย ! พวกนายกับเสื้อผ้าไร้ที่ติกับยิ้มอวดดีของพวกนาย ฮายตันปะทะลีลล์แชล์  เราจะได้เห็นกันว่าใครเหนือกว่าใคร”

พระเจ้า! ผมแทบทนรอไม่ไหว

ผมแล่นออกจากตึกมาที่สนาม ดีละ ผมคิด รู้ดีว่าเราอยู่ที่สนามอะไร ลิเวอร์พูลทำให้ผมภาคภูมิใจ ปกติเราจะได้เล่นในสนามของทีม B แต่วันนี้ในเกมกับลีลล์แชลเราได้เล่นในสนามทีม A พื้นสนามนั้นดีพอๆ กับที่แอนฟิลด์เลยทีเดียว ต้องมีใครสักคนที่สโมสรรู้ดีว่าเกมการแข่งขันวันนี้มีความหมายกับผมแค่ไหน ขอบคุณจริงๆ

ผมเริ่มวอร์มอัพ ผ่านขั้นตอนตามพิธีการก่อนเกมในฐานะกัปตันทีม จากนั้นผมก็เอาแต่จ้องกรรมการเขม็งเร่งให้พวกเขาเริ่มเกมโดยเร็ว
เสียงนกหวีดเริ่มเกมประทับในความรู้สึกผมไม่ต่างกับเสียงระฆังเริ่มต้นการชกมวยชิงรางวัล เสียงแตรศึก สัญญลักษณ์การเริ่มสงคราม ผมพังกองกลางลีลล์แชลจนแหลก ฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ  ไม่มีความปราณี ทุกๆ แทคเกิลผมใส่ความผิดหวังทั้งหมดที่ถูกโรงเรียนระดับชาติเมินลงไป ผมรักความคิดที่ว่าพวกโค้ชจากลีลล์แชลได้แต่ยืนอยู่ข้างสนามโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ในขณะที่ผมขย้ำนักเตะที่พวกเขาเลือก

“นี่จะทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่าพวกเขาปฏิเสธอะไรไป” ผมบอกกับตัวเองขณะส่งเด็กล้ำค่าของพวกเขาปลิวลิ่วขึ้นไปบนอากาศคนแล้วคนเล่า

“เบาๆ หน่อย” กรรมการตะโกนบอกผมตลอดเวลา

ไม่มีทาง เด็กลีลล์แชล์พวกนั้นจะต้องเผชิญกับเวลาที่ยากลำบาก ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ กรรมการจะมาเข้าใจความเจ็บปวดของผมได้อย่างไรกัน

ทีมลีลล์แชลประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นดีอย่างไมเคิล บอลล์ ,เวส บราวน์ และแน่นอนที่สุด เพื่อนผมไมเคิล โอเว่นผู้ซึ่งไม่พ้นทำแฮตทริกอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ พวกเขาชนะเรา 4-3 ประตู แต่ผมเองก็ยิงได้ประตูหนึ่งด้วย ผมเล่นได้ดีถึงขนาดว่าผู้เล่นทุกคนในฝั่งทีมชาติวิ่งมาจับมือกับผมหลังจบเกม ผมต่อสู้กับพวกเขาอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยังต้องการแสดงความนับถือ ขาวสะอาดดี ผมชื่นชมพวกเขาในเรื่องนี้

“เรื่องที่นายไม่ได้ไปลีลล์แชลนี่น่าขำสิ้นดี” ไมเคิลเอ่ยกับผมตอนเดินออกจากสนามด้วยกันหลังสงครามสิ้นสุด “นายดีเกินกว่าที่จะถูกปฏิเสธ”

พวกสตาฟฟ์ทีมชาติเดินเข้ามาหาเพื่อแสดงความยินดีกับผม แต่ผมแค่หันหลังกลับวิ่งหนีเข้าห้องแต่งตัวไปเฉยๆ ผมยังรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ไม่มีทางที่ผมจะจับมือกับบรรดาคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดหัวใจมากมายอย่างนี้หรอก พวกเขาไม่ไยดีผมตั้งแต่แรกนี่เป็นยาขมแบบเดียวกับที่พวกเขาให้ผม รับมันกลับคืนไปเถอะ

จนทุกวันนี้ผมก็ยังถือโกรธพวกเขาไม่หาย ผมไม่สามารถดึงความรู้สึกกลับคืน ผู้จัดการที่ไม่เลือกผมให้เข้าร่วมทีม ยู15 จอห์น โอเว่นส์ ปัจจุบันเป็นโค้ชอยู่ที่ ลิเวอร์พูล อะคาเดมี่   ผมชอบเดินสวนกับเขาตอนนี้ รักเลยล่ะ

เมื่อเห็นเขาเดินมาข้างหน้าผมก็จะสำรวมตัวเอง กล่าวทักทาย “สวัสดี” เมื่อเราเดินสวนกัน

โอเว่นส์คงคิดว่าผมลืมเรื่องเกี่ยวกับทีม ยู15 ไปหมดแล้ว แต่เปล่าเลย เมื่อไหร่ที่เราได้พบปะกันโอเว่นส์ดีกับผมเสมอ ผมพูดคุยกับเขาพยายามเต็มที่ที่จะทำตัวสุภาพทั้งๆ ที่ภายในเกรี้ยวกราด

ผมมักรู้สึกอยากลากเขาเข้าไปในห้องและถาม “ทำไมไม่เลือกผมตอนนั้น? คุณทำผิดมหันต์รู้ไหม บอกเหตุผลมาต่อหน้าผมเดี๋ยวนี้เลย เหตุผลทั้งหลายแหล่ที่คุณบอกมาในจดหมายปฏิเสธมันช่างไร้สาระ เป็นเพราะความสูงของผมงั้นหรือ? จริงอยู่มิดฟิลด์คนอื่นๆ ของคุณอาจจะตัวใหญ่หรือแข็งแกร่งกว่าผมบ้าง แต่ไม่มีใครเล่นดีไปกว่าผมอีกแล้ว ไม่มีสักคน”
เมื่อมาทบทวนดู ผมก็ว่าไฮเวย์พูดถูกมาตลอด ผมควรจะไปใช้เวลาสองปีที่โรงเรียนทีมชาติมากกว่าได้รับการฝึกสอนอย่างเชี่ยวชาญโดยสตีฟถึงสองฤดูกาลเต็มอย่างนั้นหรือ? สตีฟและสตาฟฟ์ของเขารักผม และผมก็รักพวกเขา วิธีการฝึกสอนของพวกเขาเหนือชั้น สตีฟและเดฟ แชนนอนสอนทุกสิ่งที่ผมรัก  การครองบอล, โยนบอล, การยิงประตู และการผ่านบอล

ในตอนท้ายของการฝึกซ้อมเราจะได้เล่นเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ถ้ามีใครทำผิดพลาดสตีฟกับเดฟจะสั่งให้วิดพื้น เราต้องก้มหน้าขึ้นลงกับพื้นสนามในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่รอบๆ ทุกครั้งที่ทำพลาดผมจะรีบวิดพื้นให้เสร็จเพื่อกลับเข้าสู่เกมให้เร็วที่สุด ผมต้องการเหลือเกินที่จะชนะ จะสร้างความประทับใจ นี่คือชีวิตของผม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง การซ้อมที่ลิเวอร์พูลคือโลกทั้งโลกของผม

เกมฟุตบอลที่อะคาเดมี่ มีมาตรฐานคุณภาพต่างจากเกมฟุตบอลของผมเล่นกับเพื่อนนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน หรือพวกแก๊งไอร์ออนไซด์ของผมมากมายนัก เพื่อนร่วมทีมที่ลิเวอร์พูลมีฝีเท้าในระดับเดียวกันกับผม พวกเขาเข้าใจการผ่านบอลของผม ถ้าเพื่อนที่คาร์ดินัล ฮีแนนวิ่งผิดทางหรือคอนโทรลบอลไม่ได้ก็จะทำให้ผมหงุดหงิดเป็นการใหญ่

“พวกเพื่อนอาจไม่เก่งเท่าเธอแต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนเธอนะ” คุณครูที่คาร์ดินัล ฮีแนนบอก “เธอต้องยอมรับพวกเขา”

แต่ที่ลิเวอร์พูลทุกๆ คนอยู่ในระดับเดียวกันกับผมทั้งหมด
การปฏิเสธของลีลล์แชลยิ่งทำให้ผมรักลิเวอร์พูลลึกซึ้งกว่าเดิม การที่ลิเวอร์พูลต้องการผมทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้พวกเขาเต็มที่และพิสูจน์ให้โรงเรียนทีมชาติเห็นว่าพวกเขาคิดผิด ในระยะยาวการไม่ได้เข้าเรียนกับโรงเรียนทีมชาติทำให้ผมพอใจในที่สุด ในความเห็นของผมพวกโค้ชทีมชาติคงไม่สามารถพัฒนาผมได้ดีเท่ากับที่สตีฟ ไฮเวย์ทำ สตีฟมักจะมาเยี่ยมบ้านผมที่ไอร์ออนไซด์อยู่เป็นประจำ มาดูว่าเราเป็นยังไงหรือไม่ก็โทรมา สตีฟเชิญพ่อกับแม่ผมไปพบปะกันที่สถาบันเสมอเพื่อคอยดูให้แน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สตีฟเอาใจใส่ผมเสมอ

“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง” เขาสอบถามผมเสมอเมื่อมีโอกาส “เดือดร้อนเรื่องเงินไหม “ 

เขารู้ดีว่าเราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ ถึงกับยื่นมือมาช่วยเป็นครั้งคราว สตีฟชอบที่จะสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวของนักเรียนของเขา ชอบช่วยเหลือคน เขาเป็นคนที่สุดยอด ดีเลิศ ชัดเจนว่าความใส่ใจของลิเวอร์พูลทำให้ผมมีความสุข แต่ความผูกพันที่พวกเขามีให้ผมไม่ใช่แค่ในแง่ความเป็นมืออาชีพ แต่พวกเขาใส่ใจจริงๆ

ผมไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อที่วิ่งได้ในสนาม หรือการลงทุนเพื่ออนาคต สำหรับสตีฟและลิเวอร์พูล ผมมีเลือดมีเนื้อ มีความหวาดกลัวและความฝัน สตีฟดูแลผมเหมือนลูก ผมไม่เคยลืมว่าสตีฟ ไฮเวย์มีส่วนอย่างมากในการปลูกฝังให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมากพอๆ  กับทำหน้าที่สร้างผมให้เป็นนักฟุตบอลที่ดี ช่างหัวลีลล์แชลปะไร ผมมีลิเวอร์พูลอยู่แล้ว

สตีฟไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีสโมสรต่างๆ ยังคงติดตามผมเสมอมา มีแต่พวกซื่อบื้อที่ลีลล์แชลเท่านั้นที่ไม่รู้ ผมได้รับการยอมรับจากทุกๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งจดหมายมาหาผมเป็นประจำ จดหมายดีๆ น่าอ่านกว่าจดหมายจากลีลล์แชลเยอะแยะ บุรุษไปรษณีย์ยังคงแวะเวียนมาส่งจดหมายจาก คริสตัล พาเลซ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอฟเวอร์ตัน และสเปอร์ส

วันหนึ่งพ่อของผมไปพบสตีฟ “ดูสิ สตีเว่นได้รับข้อเสนอพวกนี้มาตลอด” พ่อบอกกับเขา “เราจะลองพิจารณาทางเลือกสำหรับอนาคตของเขากันหน่อยดีไหม “

สตีฟเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน อาจกำลังคิดหนัก

“ถ้าสตีเว่นอยากไปลองดูด้วยตัวเองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และที่อื่นๆ มีอะไรมาเสนอให้บ้าง ก็น่าจะให้เขาลองไปสัมผัสดู” สตีฟกล่าว

“ถ้าเขาอยากลองไปดูว่าทีมอย่างสเปอร์หรือซิตี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกยังไงในสนามซ้อมก็ไม่มีปัญหา เราคงไม่คิดเป็นอื่นกับเขา เราจะไม่ผิดหวังกับสตีเว่นหรอก”
ผมก็เลยไป เอฟเวอร์ตันเปิดโอกาสให้ผมไปดูจนทั่วสโมสร พยายามทำให้ผมประทับใจ ผมเล่นทดสอบฝีเท้าให้ทีมของพวกเขาในเกมกับทรานเมียร์ โรเวอร์ส จากนั้นผมก็ไปสวมชุดสีน้ำเงิน-เลือดหมูของเวสต์ แฮม เมื่อเราเอาชนะทีทเคมบริดจ์ ยูไนเต็ดไป 6-2 ประตู ตอนที่ผมอายุสิบสี่ เสื้อแดงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เคยอยู่บนตัวผมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผมเล่นเกมให้พวกเขา 2 เกม เพื่อทดสอบฝีเท้า หลังจากทำได้ดีในทั้งสองเกมยูไนเต็ดก็เสนอสัญญาอาชีพ 3 ปีให้กับผม

ผมยังเคยมีโอกาสได้พบกับผู้จัดการทีมที่เป็นตำนานของพวกเขา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเด็กๆ ที่ไปทดสอบฝีเท้ามีโอกาสได้ไปร่วมทานอาหารค่ำกับมิสเตอร์เฟอร์กูสัน ไมเคิล โอเว่นเองก็อยากไปด้วยในวันนั้นแต่สุดท้ายเขาก็ไม่โผล่ไป ไมเคิล บอลล์ก็ไปด้วย

พวกเรานั่งที่โต๊ะเดียวกันอ้าปากค้างฟังคำพูดของผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ มร.เฟอร์กูสันเป็นคนเหนือชั้น ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนสำคัญในก้าวกลับมาทางความยิ่งใหญ่ของยูไนเต็ด มร.เฟอร์กูสันรู้จักชื่อเสียงของผมดีและเขาต้องการได้สัญญาจากผม เขาเล่าให้พวกเราฟังว่าเราจะไปได้ดีอย่างไรที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขามีภารกิจที่จะหนุนหลังนักเตะเด็กๆ รุ่นใหม่อย่างไรบ้าง ในช่วงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของไรอัน กิ๊กส์ และเดวิด เบคแฮม

ผมนั่งอยู่ที่นั่น เพลิดเพลินกับอาหารค่ำและรับฟังสิ่งดีๆ จาก มร.เฟอร์กูสัน แต่ผมไม่คิดจะเซ็นสัญญากับยูไนเต็ด ไม่มีวัน ผมเที่ยวไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ก็เพียงเพื่อกดดันลิเวอร์พูลให้เสนอสัญญา YTS     แก่ผม ( YTS – สัญญาฝึกงานซึ่งหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ จะเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ารับการฝึกงานและรับค่าตอบแทน)
เมื่อผมกลับไปที่ลิเวอร์พูลหลังจากไปแข่งขันทดสอบฝีเท้ากับสโมสรต่างๆ ผมก็ไปพบสตีฟ ไฮเวย์ “ผมสนุกมากที่ได้ไปเล่นกับทีมเหล่านั้น” ผมบอกเขายิ้มๆ ในไม่ช้าผมก็ได้รับสัญญา YTS   จากลิเวอร์พูล ในตอนจบฤดูกาล ยู16  

นักเรียนคนอื่นๆ ต้องเข้าไปที่ห้องในเมลวู้ดทีละคนเพื่อฟังว่าแต่ละคนจะได้เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลหรือไม่ แต่ผมไม่ต้องรอผล ผมรู้ก่อนแล้ว ผมไม่อาจอวดเอากับใครได้ว่าผมได้รับสัญญาในแบบฟอร์มขาว-ดำจากสตีฟเรียบร้อยแล้ว แต่มันเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน กับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 50 ปอนด์ ไมเคิล โอเว่นก็ได้รับสัญญาจากสตีฟด้วยเหมือนกัน

สตีฟดูแลพวกเราเสมอ บางครั้งก็หาตั๋วฝั่งเดอะ ค็อป มาให้ผม พอล และเพื่อนๆ ของเรา เขาพาผมไปเวมบลีย์ถึง 3 ครั้ง เพื่อดูเกมชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ และโคคาโคลา คัพ เราจับรถไฟเดินทางล่องใต้ ไปด้วยกันทั้งสตีฟ, ฮิวอี้ และเดฟ ภรรยาของพวกเขาดูแลผมเหมือนลูก

เราได้ไปดูเกมเอฟเอ คัพ ปี 1992 ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไป 2-0 ประตู และการเล่นอันยอดเยี่ยมของสตีฟ แมคมานามาน ต่อสู้กับโบลตัน วันเดอร์เรอส์ในการชิงถ้วยโคคาโคลา คัพ สามปีถัดจากนั้น ไมเคิล โอเว่นนั้นนับเป็นนักเตะเยาวชนที่มีค่าที่สุดของลิเวอร์พูล ดังนั้นผมจึงคิดเอาว่าผมคงจะสำคัญเป็นอันดับรองลงมาเพราะผมได้รับรางวัลด้วยการพาไปดูเกมสำคัญๆ ที่เวมบลีย์

สตีฟดีกับผมเสมอ ผมไม่เคยลืมวันที่ได้รับโทรศัพท์จากเขาเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 1996 ผมกำลังจะออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไปโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนตอนที่โทรศัพท์ดัง

สตีฟพูดเข้าประเด็นทันที “สตีเว่น เราจะเล่นเกมชองชนะเลิศเอฟเอ ยูธ คัพ  กับทีมเวสต์ แฮมในอีกสองวัน แต่ในทีมมีนักเตะบางคนบาดเจ็บ เราอยากได้เธอสำรองเอาไว้ พยายามเตรียมตัวให้พร้อมนะ”

ผมตื่นเต้นจัด ตัวแทบลอยขึ้นเหนือก้อนเมฆตลอดทางไปโรงเรียน การบาดเจ็บและเจ็บป่วยระบาดในทีมเยาวชน แต่ผมไม่เคยคิดฝันว่าพวกเขาจะเหลียวมองผม ผมไม่มีชื่อในทีมในที่สุด น่าเสียดาย ลิเวอร์พูลมีนักเตะเด็กเก่งๆ หลายคน ไม่ว่าจะเป็นเดวิด ธอมป์สัน, เจมี่ คาราเกอร์ และแน่นอนเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากโอเว่น ดาวจรัสแสงตัวจริงเสียงจริง พวกเขามีชัยในเกมชิงชนะเลิศเหนือทีมของนักเตะอย่างริโอ เฟอร์ดินาน และแฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ไม่ยาก แต่ผมซาบซึ้งกับการที่สตีฟนึกถึงผม
สตีฟยังช่วยจัดการให้ผมได้ฝึกงานที่ลิเวอร์พูล ผมนั่งอยู่ในห้องเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนนฟังพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนคุยกันถึงหน่วยงานหรือสถานประกอบการที่พวกเขาเลือกไปฝึกงาน จัดวางสินค้าตามห้างอย่างแอสด้า หรือ ควิกเซฟ ไม่เหมาะกับผม จากที่เราได้ยินได้ฟังมามีคนบอกว่านักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน รุ่นก่อนๆ บางคนได้ไปฝึกงานที่เมลวู้ด ทำให้ผมคิดได้ ผมจะไม่ยอมไปฝึกงานตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเด็ดขาดถ้ามีโอกาสไปทำที่เมลวู้ดรออยู่ตรงหน้า

ผมจึงบุกไปที่ออฟฟิศของสตีฟ “ผมยอมถูพื้นทุกห้อง ขัดรองเท้าทุกคู่ ถ้าผมได้มาฝึกงานสองอาทิตย์ที่เมลวู้ด” ผมบอกสตีฟ

เขาก็เลยจัดแจงติดต่อที่โรงเรียนให้ ดังนั้น ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นของผมไปฝึกงานกับพ่อๆ ทำงานก่ออิฐ, งานใช้แรงงาน หรือช่วยงานตามร้านค้า ผมก็ได้มีโอกาสไปอยู่ร่วมกับนักเตะทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลนานถึงสองสัปดาห์ ผมแทบไม่เชื่อโชคของตัวเองเพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน ใครๆ ที่คาร์ดินัล ฮีแนน ก็อิจฉาผมกันทั้งนั้น

นักเรียนอื่นๆ ที่เคยมาฝึกงานที่เมลวู้ดได้ฝึกงานแค่กับทีมสำรอง แต่เมื่อผมเข้าไปรายงานตัวผมได้รับแจ้งว่าผมจะได้ฝึกงานกับนักเตะที่เป็นตำนานอย่างจอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ ฮีโร่ของผม ผมสาบานได้เลยว่าทั้งสองเป็นคนดีเอามากๆ

นับเป็นสิทธิพิเศษในชีวิตผมที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา ได้ยืนอยู่ที่เส้นขอบสนามเมลวูด อ้าปากค้างดูพวกเขาฝึกซ้อมโชว์ฝีเท้าระดับเทพดูเหมือนจะเป็นขอบเขตใกล้ที่สุดที่ผมจะเข้าใกล้ได้ หน้าที่ในการฝึกงานจะมีแค่ทำความสะอาดพื้น, ล้างและขัดรองเท้า, เติมลมลูกบอล, เรียงกรวยในสนามซ้อม และคอยเก็บลูกฟุตบอล

แต่รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในสมัยนั้นเรียกผมไปร่วมเล่นเกมฟุตบอล 5 คนด้วย ผมอายุแค่สิบหกแต่ได้ผ่านบอลให้จอห์น บาร์นส และแจน โมลบี้ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็เอาแต่ส่งบอลให้ผม ช่วยให้ผมเล่นได้ดีขึ้นๆ พวกเขาทำให้ผมดูเหมือนดิเอโก้ มาราโดน่า
ช่วงเวลาสองสัปดาห์นี้เติมความรักหลงใหลในเกมฟุตบอลและความปรารถนาที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพกับลิเวอร์พูลให้ผมจมลึกลงไปทุกทีๆ ผมไม่เคยได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวร่วมกับพวกทีมชุดใหญ่ แต่ได้ใช้ห้องเดียวกับนักเตะวัยรุ่นอย่างเจมี่ คาราเกอร์, เจมี่ แคสซิดี้, เดวิด ธอมป์สัน และแกเร็ธ โรเบิร์ตส

เรื่องโจ๊กในห้องแต่งตัวของพวกเขานั้นสุดยอด,  ขำกลิ้ง และสุดแสบ พระเจ้า! ผมอิจฉาพวกเขาจัง คาร่ากับพวกได้อยู่ที่เมลวู้ดทุกวัน มีช่วงเวลาแห่งชีวิตที่นั่น และผมต้องมุ่งหน้ากลับห้องเรียนน่าเบื่อหน่ายหลังฝึกงานครบสองสัปดาห์ ผมหดหู่ แต่ก็ไม่ต้องทนนาน ผมได้สัญญา  YTS   มาแล้ว ในภาคเรียนสุดท้ายผมเข้าเรียน ทำการบ้าน และเข้าสอบ แต่ไม่ได้ตั้งใจอะไร ผมรู้ว่าอีกสองเดือนข้างหน้าเส้นทางของผมก็จะเดินทางไปถึงลิเวอร์พูล

วันสุดท้ายของผมที่คาร์ดินัล ฮีแนนผมต้องไปนั่งสอบซ่อมอยู่สองชั่วโมง ผมนั่งในห้องสอบคิดหนักกับปัญหาข้อหนึ่ง : ผมจะกำจัดชุดนักเรียนของผมให้สิ้นซากยังไงดี นาฬิกาฟ้องว่ายังเหลือเวลาเกือบชั่วโมงตอนที่ผมวิ่งแจ้นออกมา ผมไม่เคยวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทางเร็วเท่านี้มาก่อน ผมปรารถนาเหลือเกินที่จะกลับไอร์ออนไซด์ไปใส่ชุดธรรมดา โยนชุดนักเรียนทิ้งไปให้เร็วที่สุด ได้พักหกสัปดาห์แล้วก็เข้าสู่ชีวิตฟุตบอลเต็มเวลา

“การสอบเป็นยังไงบ้าง?” แม่ถามเมื่อผมถึงบ้าน

“ดีครับแม่” ผมตอบ ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าทำข้อสอบไม่ได้เรื่อง ผมส่งชุดนักเรียนให้แม่ “ได้โปรดช่วยทิ้งนี่ลงถังขยะให้ผมด้วย”

มีเครื่องแบบอื่นรอผมอยู่นับจากนี้ : เครื่องแบบลิเวอร์พูล
**** จบบทที่ 3 ****

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2 ( บทที่2)

Posted in Uncategorized on November 1, 2008 by bertbert

บทที่ 2
เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผมไม่เคยหนีโรงเรียนเลยสักครั้ง พ่อไม่ยอมให้ทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าโดดเรียน,แอบสูบบุหรี่ หรือทำพฤติกรรมเหลวแหลกทั้งหลายแหล่ ผลที่จะได้รับตามมานั้นเกินจะจินตนาการ พ่ออาจบิดหูหรือฟาดเอาบ้างแต่ไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักหนาเป็นการลงโทษ พ่อไม่เคยตีผมจริงๆ แต่จะแสดงความผิดหวังด้วยวิธีที่แตกต่างไป บางครั้งเมื่อทำผิดพ่อจะมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมหัวใจสลาย

สิ่งที่หยุดยั้งผมเอาไว้จากการทำตัวเกเรเหมือนวัยรุ่นทั่วไปก็คือความกลัวว่าความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างเราจะถูกทำลายไป พ่อไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือขึ้นเสียงเพื่อสั่งสอนผมกับพอลให้รู้จักผิดชอบ พ่อไม่ยอมให้ลูกของท่านไม่เคารพผู้อื่น หรือทำสิ่งผิด พ่อไม่ต้องการให้มีตำรวจมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้าน อาจมีเพื่อนบ้านมาบ่นเรื่องผมกับพอลไปขว้างก้อนหินใส่หน้าต่างบ้านเพื่อนบ้านบ้าง แต่เราไม่เคยทำความผิดร้ายแรงจนตำรวจต้องมาตามตัวที่บ้าน ไม่เคยเลย

ผมเคยทำผิดร้ายแรงครั้งหนึ่ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ผมขโมยของและถูกจับได้!!!

ตอนนั้นผมกับเพื่อนคนหนึ่งไปเตร็ดเตร่แถวๆ ในเมืองลิเวอร์พูล แบบเดียวกับที่เด็กสิบเอ็ดขวบส่วนใหญ่ทำกัน ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยที่ร้านวูลลี่ส์ เรามีเงินติดตัว 5 ควิด เป็นค่ารถและพอสำหรับไปแวะทานเบอร์เกอร์ที่ร้านบนถนนไลม์ระหว่างทางกลับบ้านได้ ปัญหาก็คือผมต้องใช้เครื่องเขียนสำหรับทำการบ้าน แค่กระดาษกราฟกับปากกา อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้

แผนของเราก็คือเลือกวูลลี่ย์เป็นเป้าหมายสำหรับลงมือ เราเข้าไปในร้านเดินผ่านช่องทางเดินไปๆ มาๆ แล้วก็แอบหยิบปากกาหย่อนใส่กระเป๋าและเอากระดาษซ่อนในเสื้อโค้ท อย่างมั่นใจ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูทางออก แผนดูจะได้ผล เยี่ยมไปเลย ผมรู้สึกถึงเงินในกระเป๋าสำหรับซื้อเบอร์เกอร์และโค้ก ใจเย็นๆ ไว้ แค่ก้าวพ้นประตูร้าน ออกไปที่ทางเท้าแล้วเลี้ยวขวา แค่นั้นก็เรียบร้อย

เสียงตะโกนหยุดเราเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน”

เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาททำเอาเลือดในตัวเย็นเฉียบ

“หยุดตรงนั้นละ”

ตายแน่! รปภ.ของวูลลี่ส์ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ผมขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยความหวาดกลัวจับใจ รปภ.คว้าคอเสื้อเราสองคนเอาไว้ บ้าจริง วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม

“จบกัน”

ผมคิดในใจ ความคิดและจิตใจผมปั่นป่วนไปหมด

“เราทำพังหมดแล้ว เรื่องลิเวอร์พูลคงจบสิ้นกัน สโมสรจะถีบหัวเราส่ง พ่อคงทิ้งเราแน่ ไม่น่าเลย”
รปภ. ลากตัวเราสองคนกลับเข้าไปในออฟฟิศ ค้นเอาเครื่องเขียนออกมาจากตัว จากนั้นก็เริ่มเขย่าขวัญเราอย่างที่สุด

“เรียนโรงเรียนอะไรกัน? “ เขาตวาด “บ้านอยู่ที่ไหน? บอกเบอร์โทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้เลย”

หัวสมองหมุนเร็วจี๋คิดหาทางออก [i]“ผมไม่มีเบอร์โทรที่บ้าน” ผมโกหก

รปภ.โกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ “งั้นบอกที่อยู่ที่บ้านมาไอ้หนู”

ผมไม่กล้าบอกที่อยู่ที่บ้านหรอก พ่อจะต้องประสาทเสียแน่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหู คิดสิๆๆ รปภ.ถามซ้ำอีกผมจึงตัดสินใจบอกที่อยู่บ้านป้าคนหนึ่ง เขาจดที่อยู่เอาไว้ สั่งสอนเราอีกแล้วก็ไล่เราออกมาจากร้าน

ในหัวผมสับสนไปหมดขณะวิ่งไปที่ถนนไลม์ ที่ร้านต้องโทรศัพท์ไปแจ้งโรงเรียนแล้วเรื่องก็จะต้องถึงพ่อจนได้ แล้วผมก็คงจบสิ้นกัน ถูกกักบริเวณ ไม่ได้เล่นฟุตบอลไปอีกตลอดชีวิต บ้าฉิบ… 

เมื่อผมลงรถไฟที่ฮายตันผมไม่กล้าเข้าบ้าน “พ่อต้องฆ่าเราทิ้งแน่ๆ” ผมคิดอยู่คนเดียว ไม่กล้ากลับบ้านจึงวิ่งเลยไปบ้านป้าลินน์ ป้าเปิดประตูรับผมบอกให้นั่งลงใจเย็นๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป้าฟัง

“ป้าไปหาพ่อหน่อยได้ไหมครับ” ผมขอร้องป้า

“นะครับ ไปดูให้หน่อยว่าพ่อไม่เป็นไร”

ป้าลินน์ไปที่บ้านของผมพยายามเล่าให้พ่อฟังว่าผมกลัวแค่ไหน แต่ช้าไป พ่อรู้เรื่องผมจิ๊กของแล้ว ข่าวร้ายแพร่กระจายเร็วเสมอ ทางร้านวูลลี่ส์โทรไปที่โรงเรียน แล้วทางโรงเรียนก็โทรมาบอกพ่อทันที พ่อเดือดสุดๆ ตอนมาลากตัวผมกลับบ้าน แทบฉีกผมเป็นชิ้นๆ พ่อมองตาผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมแทบขาดใจตาย

“ทำไมทำแบบนี้” พ่อตวาดผม

“ทำไมต้องขโมย ทำไมไม่จ่ายเงินซื้อ ไม่มีเงินทำไมไม่ขอพ่อกับแม่ ทำไม? ทำไม? ครอบครัวของเรารับไม่ได้กับการขโมยหรอกนะ แล้วแกก็จะถูกลงโทษที่โรงเรียนด้วย พวกเขาต้องอยากรู้แน่ว่าแกขโมยของทำไม”

ระหว่างนั่งรถไฟกลับจากบ้านป้า จังหวะหนึ่งผมคิดว่าพ่อน่าจะเย็นลงแล้ว

“พ่อครับ” ผมเปิดปากพยายามอธิบาย “ถ้าโรงเรียนถามเหตุผลผมก็จะบอกไปว่าผมต้องใช้เครื่องเขียนเพื่อทำการบ้าน ผมทำเพื่อเรื่องที่โรงเรียน มันไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรเลย แค่กระดาษกราฟ”

พ่อมองหน้าผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะปฏิเสธ “เป็นฉันจะไม่อ้างแบบนั้น”

จบกัน ข้อแก้ตัวไม่มีน้ำหนักเลย ผมรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยให้ผมรอดจากการไปอยู่บ้านสุนัขแน่แล้ว

แล้วพ่อก็จู่โจมผมด้วยความคิดที่ร้ายกาจอีกเรื่อง

“ถ้าลิเวอร์พูลรู้เรื่องนี้เข้าแกคงตกที่นั่งลำบากแล้วสตีเว่น” พ่อบอก

“แกคิดว่า สตีฟ ไฮเวย์จะคิดยังไงกับแก แกคงต้องสูญเสียโอกาสที่ลิเวอร์พูล พวกเขาจะเตะโด่งแกออกมาแทบไม่ทัน”
คำพูดเหล่านั้นกระแทกจิตใจผมเหมือนระเบิด ผมรู้สึกต่ำต้อย ผมรักพ่อ เสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง ผมรักลิเวอร์พูล กลัวแทบตายเมื่อคิดว่าพวกเขาคงจะไม่ปราณีผม ฟุตบอลคือสิ่งเดียวที่ผมเฝ้าฝันถึง ทำไมผมต้องขโมยของด้วย? ,พระเยซูเจ้า, ไม่น่าเลยผมโง่จริงๆ ที่ทำแบบนั้น ผมมีเงินและถึงไม่มีผมก็ไม่ควรทำแบบนั้น

พ่อกับแม่พร่ำบอกผมกับพอลเสมอว่า “อย่าคิดลักขโมยเด็ดขาด ถ้าลูกต้องการอะไรไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนพ่อกับแม่จะหาให้”

ผมช่างโง่เง่าจริงๆ ผมไปขโมยของ และตอนนี้ผมก็ต้องตกนรกหมกไหม้จากการกระทำของผมเอง

เมื่อพ่อพาผมกลับมาบ้าน แม่มารอที่หน้าประตูอยู่แล้ว แม่ยอมให้พ่อดุด่าผมเพราะความผิดนี้มันร้ายแรง แต่แม่ก็ คอยดูว่าพ่อจะไม่ฟาดผมด้วยเข็มขัด ผมกับพอลเป็นลูกรักของแม่มาตลอด แม่คอยปกป้องเราเสมอ

ผมเองมักจะเถียงแม่เป็นประจำ “แม่พอทีเถอะ”  ผมเคยย้อนเวลาที่แม่จะบ่นหรือสอนอะไร ซึ่งแม่ก็จะแค่แอบยิ้มแล้วก็ยอมทุกครั้ง ความรักที่แม่มีต่อผมกับพอลถึงขนาดว่าต่อให้เราฆ่าคนตายแม่ก็จะอภัยให้ แม่ใจอ่อนกว่าพ่อ แม่รู้ว่าพ่อโกรธมากกับเรื่องที่เกิดที่วูลลี่ส์ก็เลยต้องคอยจับตาดูให้แน่ใจว่าพ่อจะไม่ตีผม

เด็กหลายคนที่ถูกจับได้ว่าขโมยหรือแอบสูบบุหรี่อาจโดนพ่อของตัวเฆี่ยนด้วยแส้หนัง แม้แต่เพื่อนอีกคนที่ก่อเรื่องด้วยกันกับผมก็โดนลงไม้ลงมือไม่น้อยที่บ้าน ส่วนผมพ่อแค่สั่งกักบริเวณแค่ 3 คืน แต่ก็มากพอจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกขังนานถึงหกเดือน

ผมไม่ได้รับความเห็นใจจากพอลแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพี่ชายของผมหัวเราะเยาะผมอย่างหนัก ตอนผมโดนกักบริเวณในห้องพอลมาเคาะประตูและกระซิบผ่านบานประตูมา

“รู้ไหมสตีวี่ ฉันจะไปในเมืองล่ะ ต้องสนุกแน่ๆ ไปด้วยกันไหม”

ขอบคุณจริงๆ พอลยังทำร้ายจิตใจผมต่อไม่เลิก

“คอมพิวเตอร์ตั้งรออยู่ชั้นล่างแน่ะ” เสียงพอลลอดผ่านประตูมาอีก “นายอยากเล่นเกมใช่ไหมล่ะ ? ”

พอลรู้ดีว่าผมออกมาจากห้องไม่ได้ เขาแค่ยั่วผมแต่ก็ทำเอาผมหัวใจแทบสลาย ผมได้ยินพอลวิ่งไปเล่นนอกบ้านและชวนพวกเด็กอื่นเล่นฟุตบอล เขาร้องเรียกเด็กอื่นๆ ทั่วไอร์ออนไซด์ด้วยเสียงดังฟังชัด

“ใครอยากเล่นบอลกันบ้าง มาเร็ว”

นี่เป็นการทรมานอย่างแท้จริง ผมได้ยินเสียงเกมฟุตบอลที่พวกเขาเล่นกัน แทบหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ เล่นกันสนุกสนาน, พูดอำกัน แม้แต่ฉลองประตู ผมหนีไปไหนไม่ได้ ห้องของผมอยู่หน้าบ้าน เพื่อนๆ มาตะโกนเรียกผมที่หน้าต่าง

“สตีวี่,สตีวี่ เกมวันนี้เจ๋งมากเลย น่าเสียดายจริงๆ ที่นายมาเล่นด้วยไม่ได้ ไม่งั้นนายต้องชอบแน่” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันโหดร้าย

เพื่อนๆ ผม,พี่ชายสุดโหด ทุกคนรู้หมดว่าผมต้องได้ยินแน่ๆ พวกเขารู้ว่าผมต้องแทบขาดใจตาย เมื่อพวกเขาเลิกตะโกนเรียกผมก็แอบดูพวกเขาเล่นบอลที่หน้าต่างด้วยความอิจฉา ผมทำผิดเองสมควรแล้วที่ถูกลงโทษขังเดี่ยวแบบนี้
ปกติแล้วผมทำตัวดีเสมอถ้าเทียบกับเด็กอื่นๆ ที่ผมคบด้วย เพื่อนผมหลายคนขโมยของในร้าน,จากปั๊มน้ำมัน แอบจิ๊กขนมหรือเครื่องดื่ม เมื่อผมอยู่ด้วยกับเพื่อนๆ ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเวลาพักผมเคยเห็นเพื่อนควักเอาบุหรี่ออกมาสูบ จุดไฟเที่ยวพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคนอื่น พวกเขาไม่สนใจหรอก บางคนไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต

อย่างไรก็ดีผมสนุกและชอบเวลาที่ได้อยู่กับพวกเพื่อนๆ แต่ผมก็ต้องคอยประคองตัวไม่ให้เดินผิดทางเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ แม้จะมีสิ่งยั่วยวนมากมายล้วนแล้วแต่ร้ายกาจ แต่ผมโชคดีที่พ่อคอยสอนให้ผมเลือกทางที่ถูกถ้าไม่มีคำสั่งสอนจากพ่อ ผมคงไม่ได้มาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

พ่อเป็นเจ้านายใหญ่ในบ้านเราเสมอ คำพูดของพ่อคือกฎ แต่พ่อไม่เคยทำเหมือนเป็นเผด็จการ ผมกับพอลไม่ต้องกลัวพ่อแม่หัวหด บางครั้งเราก็เหมือนเด็กถูกตามใจจนเหลิง เรียกร้องอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ พวกพ่อแม่พยายามให้เราตามที่จะให้ได้  แต่ผมกับพอลกลับเคารพเชื่อฟังพ่อกับแม่อย่างแทบไม่น่าเชื่อ ครอบครัวของเราใกล้ชิดกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราทานอาหารเช้า,มีเวลาน้ำชาด้วยกัน นั่งคุยกันทุกคืนตอนดูทีวีแล้วก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อย บรรยากาศในบ้านยอดเยี่ยมเสมอ

พอลกับผมคงไม่อาจขอพ่อแม่ที่รักและเอาใจใส่มากกว่านี้ได้ แม่เป็นแม่บ้านที่ภาคภูมิใจ ความหิวโหยไม่เคยมาเยือนบ้านหลังนี้ ครอบครัวเจอราร์ดมีอาหารเพียงพอเสมอ ตู้ในครัวไม่เคยขาดเสบียง ถ้ามีบางครั้งที่ผมกับพอลไม่ได้บางสิ่งที่ต้องการหรือเงินขาดมือบ้าง

แม่ก็จะบอกว่า “นั่นเป็นเพราะตู้ของเราต้องไม่ว่างเปล่าจ๊ะ เรื่องนี้สำคัญที่สุด ตู้เสบียงต้องเต็มเสมอ”

ผมกับพี่ชายไม่เคยถูกห้ามทานบิสกิตหรือขนม “แต่ลูกๆ จะเข้าใกล้ตู้ขนมไม่ได้จนกว่าจะทานอาหารให้หมดเสียก่อน” นี่คือประกาศิตจากแม่

เราไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอมเป็นได้แค่ฝัน ทุกๆ ปีเราจะได้ไปเที่ยวกันที่สถานตากอากาศบัตลินในเมือง Skegness  หรือ ฮอลิเดย์ ปาร์คใน Devon  เท่านั้น ลุงกับป้าของผมมักพาพวกลูกๆ มาเที่ยวกับเราด้วย รวมทั้งปู่และย่า ไปกันทั้งครอบครัว ช่างเป็นการผจญภัยแสนสนุก ผมมักฝันเฟื่องเรื่องไปเที่ยวประจำปีก่อนหน้าวันจริงนานหลายเดือน แม่วางแผนไว้เป็นอย่างๆ คอยสะสมเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้เพื่อไปเที่ยว

แม่รู้ดีว่าการได้ไปเที่ยวพักร้อนมีความหมายกับครอบครัวเราแค่ไหนโดยเฉพาะสำหรับผมและพอล บางปีถ้าผมกับพอลโชคดีแม่จะอนุญาตให้พาเพื่อนไปด้วย ผมยกให้พอลเป็นคนเลือกเพื่อนผู้โชคดี ส่วนผมก็ลิงโลดที่จะได้ไปเที่ยวและเล่นบอลกับเด็กโตกว่า เราสนุกกันมาก

“ต้องไปโรงเรียนฟุตบอลด้วย” พ่อเตือนระหว่างขับรถไปหาดลินคอล์นไชร์

อย่างผมไม่ต้องรอให้บอกหรอก แม้แต่ตอนที่เราวิ่งเล่นบนชายหาด, เอาไม้หวดลูกบอลไปรอบๆ อย่างสนุกสนาน หรือเล่นสไลเดอร์ที่สวนน้ำ ในใจผมก็คิดถึงแต่เรื่องโรงเรียนฟุตบอล

“ได้เวลาหรือยังครับ?” ผมถามพ่อ “มาเถอะ ตอนนี้เหมาะแล้วล่ะ”

ผมเซ้าซี้พ่อแบบนี้เสมอ ที่ Skegness นั้นแสนจะสะดวกสบาย ตกกลางคืนเราไปเที่ยวคลับท้องถิ่นที่มีนักร้อง, วงดนตรีมาเล่นหรือมีคาราโอเกะ เราสนุกกันมาก แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมมักจะตื่นแต่เช้า เรียกร้อง “เมื่อไหร่ผมจะได้ไปโรงเรียนฟุตบอลเสียที” ที่ Skegness เป็นสวรรค์สำหรับผมเสมอ

ผม,พอลและพ่อคุยกันเรื่องฟุตบอลตลอดเวลา พ่อผมบ้าลิเวอร์พูล พ่อมักจะซื้อวีดิโอลิเวอร์พูลมาให้ผมและเราก็นั่งดูด้วยกัน ชื่นชมความกร้าวแกร่งของแกรม ซูเนสส์, ความเยือกเย็นของอลัน แฮนเซ่น และความเหนือชั้นของเคนนี่ ดัลกลิช วันหนึ่งพ่อกลับมาบ้านพร้อมรูปภาพขนาดใหญ่ของดัลกลิช พ่อเอารูปมาให้ผมที่ห้องนอนชั้นบนบ้าน

“เคนนี่ ดัลกลิชเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลิเวอร์พูล” พ่อบอก “เขายิ่งใหญ่ ลูกติดรูปเขาไว้บนผนังสิ”

โปสเตอร์ของดัลกลิชรูปนั้นติดอยู่ที่ผนังห้องผมอยู่นานหลายปี เป็นเหมือนแท่นบูชา ผมโชคดีพอที่มีโอกาสได้เห็นคิงเคนนี่เล่นที่แอนฟิลด์เมื่อผมยังเด็กมาก ตอนประมาณ 6-7 ขวบได้ ผมเองมีเสื้อของเคนนี่เก็บไว้ที่ห้องโชว์ของสะสมของผมที่บ้านหลังปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นผมรักที่จะยืนอยู่ที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป ถูกร่ายมนต์สะกดโดยเคนนี่, เอียน รัช, จอห์น บาร์นส และ สตีฟ แมคมาน นักเตะชั้นยอดทั้งนั้น

ผมได้เห็นช่วงเวลาแห่งแชมเปี้ยนหลายครั้ง และในปี 1989 ผมยืนอยู่ที่เดอะ ค็อป สแตน หัวใจสลายเมื่อได้เห็นไมเคิล โทมัสดับฝันลิเวอร์พูลในการเป็นแชมป์ลีกด้วยประตูในท้ายเกมการแข่งขัน ผมยังจำได้ถึงภาพของแฮนเซ่นชูถ้วยแชมป์ได้ในปีถัดมา ช่างเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ ทุกวันนี้ผมตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเจริญรอยตามแฮนเซ่นนำแชมป์ลีกกลับมาถิ่นแอนฟิลด์ให้จงได้

แค่ตอนที่ผมไปฝึกฟุตบอลกับลิเวอร์พูลตอนอายุ 8 ขวบเท่านั้นที่ทำให้ผมกลายมาเป็นคอปไพต์อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่รู้สักนิดว่าจะเชียร์ทีมไหน สัปดาห์หนึ่งผมก็ไปอยู่ที่อัฒจันท์พานินี่ที่กูดิสันปาร์ค อีกสัปดาห์ผมก็ไปร้องเพลงยืนโยกไปมาที่อัฒจันท์เดอะ ค็อป หัวใจของผมถูกยึดครองโดยฟุตบอล แต่ไม่ได้แบ่งแยกสี แต่คนอื่นๆ ไม่ได้เห็นด้วยกับการนี้ กับพ่อ เราต้องเลือกเอาว่าจะเป็นสาวกสีแดงไม่ก็ยอมตาย

“ลิเวอร์พูลๆๆ” พ่อกรอกหูผมด้วยคำๆ นี้ตลอดเวลาเหมือนเป็นบทเพลงสวด
แต่ก็เช่นเดียวกับครอบครัวอื่นๆ ในเมอร์ซี่ไซด์ซึ่งมีทั้งสายเลือดสีแดงและสีน้ำเงินผสมปนเปกันไปในทุกครอบครัว พี่ชายของแม่ผม ลุงเลสลี่ เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของเอฟเวอร์ตัน ลุงมีตั๋วปี, ผ้าพันคอ, ธง และของสะสมเอฟเวอร์ตันเต็มบ้าน บ่อยครั้งที่ลุงเลสลี่จะมาที่บ้านหลังเกมเอฟเวอร์ตัน เอาชุดฟุตบอลเอฟเวอร์ตันมาเป็นของกำนัลเสมอเพื่อจะพยายามกล่อมผมให้หันไปเชียร์เอฟเวอร์ตันด้วย

ถ้าลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ยากเลยที่จะเจอรูปผมวัยเด็กในชุดเอฟเวอร์ตันเต็มยศ เสื้อสีน้ำเงิน,กางเกง, ถุงเท้า และอุปกรณ์ครบชุด เมื่อผมเริ่มเป็นที่รู้จักที่ลิเวอร์พูลกลุ่มแฟนเอฟเวอร์ตันบางกลุ่มมีรูปนี้และพิมพ์มาเผยแพร่ พวกเขาต้องรักมันแน่ เพราะเมื่อหนังสือพิมพ์เดอะ มิเรอร์ ได้ข่าวเกี่ยวกับรูปนี้ ก็ตามหารูปมาจนได้และนำไปตีพิมพ์ต่อ

เมื่อผมเริ่มโด่งดังอยู่กับลิเวอร์พูลรูปนี้ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง รูปนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่คิดว่ารูปนี้ถูกทำปลอมขึ้นมา แต่ผิดครับ รูปนี้เป็นของแท้แน่นอนถ่ายไว้เมื่อปี 1987 รูปผมเองแต่งชุดเอฟเวอร์โตเนี่ยน และไม่ใช่แต่งไปงานแฟนซีหรือท้าพนันกับใครที่ไหน ลุงเลสลี่พาผมไปชมเกมที่กูดิสันตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมได้เข้าชมหลายเกมระหว่างเส้นทางไปสู่แชมป์ลีกของเอฟเวอร์ตันฤดูกาลนั้น

ผมเล่นเกมชนะตอนไปชมเกมและได้รางวัลให้ไปถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์ลีกและถาดแชริตี้ ชิลด์ ที่กูดิสัน ลุงเลสลี่ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะทำเอาพ่อผมเดือดจนแทบพุ่งทะลุหลังคาบ้านและก็จริงเสียด้วย พ่อแทบเต้นเมื่อนึกเห็นภาพลูกชายคนเล็กในชุดสีน้ำเงิน ยืนอย่างสุดแสนภูมิใจในห้องถ้วยรางวัลที่กูดิสัน

“สตีเว่นจะไม่ไปที่นั่น” พ่อบอกลุงเลสลี่ไม่หยุด

“ลูกจะไม่ไปที่นั่นสตีเว่น” พ่อบอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ผมอยากไป ผมตื่นเต้นกับรางวัล โธ่! ก็ผมแค่เด็กเจ็ดขวบที่บ้าบอลสุดหัวใจ ไม่เข้าใจสักนิดถึงความเป็นอริระหว่างเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูล

ในตอนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ลุงเลสลี่มาหาเราที่บ้านเพื่อช่วยเตรียมตัว เขาเอาชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมของเอฟเวอร์ตันมาให้ด้วย ผมแกะห่ออย่างตื่นเต้นรีบสวมเสื้อสีน้ำเงินตัวใหม่ทันทีไม่สนแม้เนื้อผ้าจะแข็งกระด้างแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปกูดิสันกับลุงเลสลี่ ทิ้งพ่อที่เดือดดาลไว้เบื้องหลัง ผมว่าพ่อคงแอบคิดจะตัดขาดผมไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น

ที่กูดิสันลุงเลสลี่พาผมไปที่ห้องแสดงถ้วยรางวัล ยิ้มแป้น มีคนถ่ายรูปเต็มไปหมด ทุกวันนี้เมื่อหัวใจทั้งดวงของผมตกเป็นของลิเวอร์พูลไปหมดแล้ว ผมเคยมองย้อนไปถึงเหตุการณ์นี้ก็ได้แต่สงสัยตัวเองว่าทำแบบนั้นไปได้อย่างไร ผมขอโยนความผิดไปให้กับความอ่อนเดียงสาก็แล้วกันครับ ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกันทั้งนั้น
เอฟเวอร์ตัน, ลิเวอร์พูล หรือทีมไหนๆ ก็ตาม ในช่วงเวลานั้นสำหรับผมเป็นแค่โอกาสที่จะได้จับจองเป็นเจ้าของชุดฟุตบอลใหม่ๆ การเก็บสะสมเสื้อฟุตบอลให้ได้มากที่สุดกลายเป็นงานอดิเรกที่จริงจัง ทุกคริสมาสต์ผมจะได้ชุดฟุตบอลใหม่เอี่ยมสองชุดเป็นของขวัญ ส่วนวันเกิดยิ่งได้เยอะกว่านั้น ผมคงหน้าเหมือนยักษ์ถ้างานไหนไม่ได้ชุดกีฬาเป็นของขวัญ พ่อกับแม่ผมสุดยอดมากในเรื่องนี้ พวกท่านรู้ว่าเสื้อจากสโมสรต่างๆ ไม่ซ้ำกันมีความหมายกับผมแค่ไหน

ด้วยความช่วยเหลือจากคุณตา และเงินรายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่แม่หาได้จากการดูแลคุณตา พวกท่านเก็บเอาไว้ซื้อชุดให้ผมทั้งนั้น ผมมีทั้งชุดของทอตแน่ม, แมนซิตี้ และแน่นอนขาดไม่ได้ ชุดลิเวอร์กับเอฟเวอร์ตัน สมุดสติกเกอร์พานินี่ถูกผมสำรวจปรุโปร่งทุกหน้า ทุกหน้าถูกกากบาท ทุกชุดต้องเป็นเจ้าของให้ได้

“แม่ครับ” ผมมักตะโกนมาจากชั้นบนอย่างตื่นเต้น “ผมอยากได้เสื้อใหม่เอี่ยมของสเปอร์ส นะครับ”

หนังสือแคตตาล็อกและร้านขายเสื้อไม่ใช่จะเพียงพอจะสนองความคลั่งไคล้ของผม รายการ  Match of the Day  ก็เปรียบเสมือนเวทีแฟชั่นชุดฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านี้ยั่วยวนใจให้ผมหลงใหล ถ้าอาทิตย์ไหนมีเกมระหว่างเอฟเวอร์ตันกับทอตแน่มฉายทางทีวี พอจบเกมปุ๊บผมจะแล่นออกไปที่ถนนในชุดของทีมผู้ชนะทันที จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในเกมนั้น ดวงตาผมเป็นประกายเหมือนดวงดาว ร่างกายผมก็ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อที่ปักชื่อดารานักเตะอยู่บนแผ่นหลัง

เสื้อตัวโปรดของผมเป็นเสื้อของเนวิลล์ เซาธ์ทอล เสื้อโกล์เอฟเวอร์ตันเป็นชุดเก่งของผม ผมเคยใส่เสื้อตัวโปรดนี้โดยไม่ยอมถอดอยู่หลายวัน ผมแต่งตัวเหมือนเซาธ์ทอลเป๊ะ ถุงเท้าร่นลงต่ำเล็กน้อยพอให้มองเห็นบางส่วนของสนับแข้ง ซอนดิโก้  พี่เบิ้มเนฟมักจะสวมสตั๊ด ไฮ-เทค ผมเลยขอให้พ่อกับแม่ซื้อรองเท้าแบบเดียวกันเปี๊ยบให้

ผมรักเซาธ์ทอล เมื่อไหร่ที่ผมไม่นึกอยากเล่นตำแหน่งในสนาม ผมก็จะหยิบเอาชุดโกล์มาสวมสมมติว่าตัวเองเป็นเนวิลล์ เซาธ์ทอลผู้ยิ่งใหญ่ พุ่งตัวไปบนสนามหญ้า โจนไปแย่งบอลที่เท้าเพื่อน ทำตัวกล้าหาญเหมือนเพิ่งเซฟประตูสำคัญๆ ได้เหมือนฮีโร่เอฟเวอร์ตันตัวจริง เนวิลล์ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมรักความผูกพันที่เขามีต่อฟุตบอล มันจะเป็นเหมือนวินาทีที่ยิ่งใหญ่เสมอถ้าผมเปิดสติ๊กเกอร์สะสมของพานินี่เจอรูปของเนวิลล์ เซาธ์ทอลเข้า  ผมดีใจอยู่เป็นชั่วโมงๆ ทุกครั้ง ผมวิ่งไปทั่วละแวกบ้านชูสติ๊กเกอร์ไปมาเหมือนมันเป็นถ้วยรางวัล

สติ๊กเกอร์, ชุดฟุตบอล การไปชมเกม และเล่นฟุตบอลคือชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยฟุตบอลของผม อย่างที่ผมบอกไว้ตลอดมา และความคลั่งไคล้นี้เองที่เป็นช่องทางนำผมก้าวเข้าไปหา สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

***** จบบทที่ 2 ****

GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY Part 2 ( ต่อ)

Posted in Uncategorized on November 1, 2008 by bertbert

วันนี้มาว่ากันถึงตอนสุดท้ายของบทที่ 1 นะครับ

การเดินทางของผมผ่านระบบการศึกษาของเมอร์ซี่ย์ไซด์เรียบๆ ตรงไปตรงมา ผมมองโรงเรียนเป็นสนามฟุตบอลแสนวิเศษที่มีตึกหน้าตาน่าเบื่อล้อมรอบ ป้ายแรกของผมคือโรงเรียนเซนต์ส ไมเคิล ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงเรียนประถมฮายตัน-วิธ-โรบี้ เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Huyton-with-Roby Church of England Primary) แม้จะอยู่ห่างจากบ้านแค่เดินไม่กี่นาทีถึง แต่แม่ก็ยืนยันที่จะไปรับไปส่งผมที่โรงเรียนทุกวัน

ตอนเรียนอนุบาลและประถมต้นก็สนุกดี ผมซนบ้างเป็นบางครั้ง บางทีถ้าผมดื้อคุณครูก็จะลงโทษให้ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ไปยืนนับอิฐที่รายเรียงบนผนังอยู่สัก 5 นาที ผมไม่เคยมีเรื่องกับเด็กอื่น ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยและไม่กล่าวคำสบถ บางครั้งผมก็ดื้อและซนบ้าง ความผิดของผมมีอยู่อย่างเดียว ผมชอบเถียงและชอบวิ่งไปคลุกโคลนบนสนามหญ้าเวลาถูกสั่งให้อยู่บนพื้นคอนกรีต ก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป

สำหรับผมการเรียนไม่น่าพิสมัยนัก ผมแค่นั่งในห้องเรียนรอให้ถึงเวลาพักซึ่งพวกนักเรียนก็จะได้เล่นเตะบอลกัน ช่วงเวลาพักกลางวันเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดเพราะมันนานถึงหนึ่งชั่วโมงซึ่งก็หมายถึงว่าจะเล่นฟุตบอลได้นานขึ้น ผมไม่ค่อยรอทานอาหารกลางวันของโรงเรียนเพราะมันเสียเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องเข้าแถวรอตักอาหารผมมักจะร้องตะโกนอย่างหงุดหงิด

“เร็วหน่อยๆ บิ๊กแมทช์รออยู่ข้างนอกนะ”

บางครั้งผมจะขอให้แม่เตรียมอาหารกลางวันไปให้

“ลูกควรกินอาหารกลางวันร้อนๆ ของโรงเรียนมากกว่า” แม่ไม่เห็นด้วย “ไม่อย่างนั้นก็กลับมากินที่บ้านถ้าไม่ชอบอาหารที่โรงเรียน”

เราพบกันครึ่งทางด้วยห่ออาหารกลางวัน แซนด์วิช,ช็อคโกแลต เครื่องดื่ม และผลไม้นิดหน่อย ผลไม้จะกลับมาบ้านในสภาพเดิมเป็นประจำ แอ๊ปเปิ้ล,กล้วย หรือส้มไม่ใช่ตัวผมแน่ แซนด์วิชก็ไม่ใช่ของชอบผมในตอนนั้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่ผมจะโปรดอาหารพวกขนมปัง,เนื้อ หรืออาหารอื่นๆ ที่กินระหว่างเล่นบอลได้

“สตีวี่ ลูกไม่กินแซนด์วิชเลย” แม่มักจะบ่นถ้าเห็น “ทำไมกินแต่ช็อคโกแลตล่ะ””

แม่ไม่เข้าใจหรอก ตอนพักทานอาหารผมต้องรีบทำเวลา ผมทานอาหารที่แม่เตรียมไปจากบ้านระหว่างเล่นฟุตบอลหรือไม่ก็ขย้ำรวดเดียวหมดระหว่างวิ่งกลับเข้าห้องเรียนรวมไปถึงน้ำชา เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเล่นบอลกันที่ไอร์ออนไซด์หรือมีเพื่อนรอเล่นบอลอยู่ผมก็จะเอาของกินยัดใส่กระเป๋าเผ่นออกประตู โยนอาหารให้สุนัขข้างบ้านระหว่างทางวิ่งไปเล่นฟุตบอล พอเล่นเสร็จผมก็หิวโซกลับบ้าน มาค้นหาบิสกิต ขนม หรือช็อคโกแล็ตทานทีหลัง
กลับไปเรื่องที่โรงเรียนกันบ้าง ครูที่เคยเห็นผมเขียนอะไรยุ่งไปหมดด้วยลายมือไก่เขี่ยในชั้นเรียน ปั่นจี๋แทบเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากแท่งดินสอที่ผมรีบเร่งเขียนคงคิดว่าผมต้องตั้งใจกับบทเรียนแหง

แต่ขอโทษจริงๆ ครับคุณครู เปล่าเลย สมุดถูกใช้เขียนจัดชื่อทีมสำหรับเกมฟุตบอลตอนพักกลางวัน ที่ปกหลังของหนังสือผมเขียนรายชื่อนักบอลของผมเอาไว้ ทันทีที่กริ่งเวลาพักดังขึ้น ผมก็พุ่งปราดไปที่สนามจัดการแบ่งทีมพวกผู้ชาย และกันพวกเด็กหญิงออกนอกสนาม

“พวกเธอจะนั่งดูก็ได้” ผมแสดงความใจกว้าง “แต่ว่าตรงนี้เป็นพื้นสนามจะเข้ามาเดินเพ่นพ่านไม่ได้หรอก”

ขอบเขตสนามใช้กระเป๋าวางกำหนดจุดเอาไว้รวมถึงทำเป็นเสาโกล์ เกมฟุตบอลที่โรงเรียนเซนต์มิคส’ ถือเป็นเรื่องจริงจังมาก เกมชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่เวมบลีย์ยังไม่เข้มข้นเท่านี้เลย ทุกวันนี้บนใบหน้าผมยังมีร่องรอยแผลเป็นที่ผมได้มาจากสนามแห่งนี้ตอนที่ผมชนเข้ากับรั้วจากการแย่งบอลในเกม ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแพ้ ใครชนะก็อวดได้เต็มปากส่วนผู้แพ้ก็ต้องสงบปากสงบคำจนกว่าจะถึงเกมแก้มือ

แบรี่เองเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีคนหนึ่ง เขาได้ไปเล่นทีมชุด ยู-13 กับทีมเดนเบอร์นที่พ่อผมช่วยดูแลทีมอยู่ เดนเบอร์นเป็นทีมที่ดีทีมหนึ่ง ไมเคิล บรานช์และโทนี่ ฮิบเบิร์ตเคยเล่นกับทีมนี้ด้วย ผมไปเล่นให้พวกเขาช่วงสั้นๆ และช่วยให้ทีมชนะในเอดจ์ฮิล จูเนียร์ ลีก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะให้ผมหยุดเล่น

แบรี่กับผมนับเป็นผู้เล่นสำคัญในทีมโรงเรียน มีอยู่ปีหนึ่งเราช่วยทำผลงานให้ทีมเซนต์มิคส’ เป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยระดับท้องถิ่นและเรามีโอกาสจะไปแข่งที่เวมบลีย์โดยที่ต้องเอาชนะทีมจากตำบลต่างๆ ในทัวร์นาเมนต์ก่อน

รางวัลสำหรับชัยชนะนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน เวมบลีย์ แค่นึกถึงชื่อสนามเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ทำเอาผมหลับไม่ลงเอาแต่นอนคิดว่าจะเป็นยังไงที่ได้ลงแข่งในสนามที่โด่งดังที่สุดในโลก ผมตั้งใจแข่งตลอดทัวร์นาเมนต์ แต่ในเกมหนึ่งผมโดนห่วงกระป๋องโค้กคมๆ บาดหัวเข่า ผมโดนเย็บ 5 เข็ม ไม่มากมายอะไรแต่ก็ทำให้ผมอดร่วมทีมไปแข่งที่เวมบลีย์

เรื่องนี้ทำเอาผมร้องไห้ฟูมฟาย ดูเหมือนโชคร้ายแบบนี้จะติดตัวผมอยู่เสมอ คิดดู เพื่อนร่วมทีมได้หยุดโรงเรียนไปแข่งฟุตบอลที่เวมบลีย์ แต่ผมกลับต้องหยุดโรงเรียนเข้าโรงพยาบาล เวลาผ่านไปแม้รอยแผลเป็นบนเข่าจะจางลงแต่ความทรงจำเจ็บปวดที่ต้องพลาดเกมสำคัญที่เวมบลีย์ยังคงแจ่มชัด
ตอนที่ผมจบจากโรงเรียนเซนต์มิคส์’ ผมก็มาถึงทางเลือกครั้งใหญ่สำหรับโรงเรียนมัธยม เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมบาวริ่ง หรือโรงเรียนโนว์สลีย์ ไฮ พอลเองเรียนอยู่ที่บาวริ่งผมก็เลยอยากไปเรียนที่นั่นเพียงแค่จะได้ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ชาย

ส่วนโนว์สลีย์ ไฮ มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง ทีมฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญของโรงเรียน ทุกๆ คนรู้ดีว่าผมจริงจังเรื่องฟุตบอลเพราะฉะนั้นโรงเรียนที่จะช่วยผมให้พัฒนาในด้านฟุตบอลได้จะเหมาะสมที่สุด คุณครูของผมที่เซนต์มิคส์’ ครูแชดวิคได้ให้คำแนะนำกับผม

“เธอน่าจะเลือกไปเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน นะสตีเว่น” ครูแนะ “ที่นี่เหมาะสมกว่าในเรื่องฟุตบอล”

โรงเรียนมัธยมคาทอลิกคาร์ดินัล ฮีแนน เป็นโรงเรียนหนึ่งที่ผมรู้จักดีมานานแล้ว ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องฟุตบอลอาจจะดีที่สุดในแถบนี้เลยก็เป็นได้ สามีของครูแชดวิค-ครูเอริก- สอนวิชาพละศึกษาอยู่ที่นั่น

“ดูแลสตีเว่นด้วยนะคะ” ครูแชดวิคบอกกับสามี “เขาเล่นฟุตบอลเก่งเหลือร้าย เขาจะต้องเป็นนักเรียนที่น่าชื่นชมที่คาร์ดินัล ฮีแนนได้แน่”

หลายคนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ บลูเบลล์อยู่นอกเขตพื้นที่ของคาร์ดินัล และผมไม่ใช่คาทอลิก แต่ใครจะสนล่ะ ฟุตบอลมาเป็นที่หนึ่งเสมอ คำรับรองของครูแชดวิคที่ว่าผมเรียนดีพอใช้ และทักษะฟุตบอลของผม ช่วยให้ผมเดินเข้าสถาบันคาร์ดินัล ฮีแนน ได้ในที่สุด อาชีพในอนาคตของผมบงการให้ผมเข้าเรียนที่นั่น

สิ่งสำคัญคือการลงทะเบียนเป็นนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน จะทำให้ผมได้เข้าร่วมเล่นกับทีมเยาวชนลิเวอร์พูล-ลิเวอร์พูล บอยส์- ไม่ใช่ทีมเยาวชนโนว์สลีย์  ทีมลิเวอร์พูล บอยส์มีภาษีดีกว่ามาก พวกแมวมองทั้งจากลิเวอร์พูลและเอฟเวอร์ตันมักจะไปมองหาเด็กๆ ฝีเท้าดีในเกมการแข่งขันของลิเวอร์พูล บอยส์เสมอ โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนจึงเหมาะสมกับผมที่สุดแล้ว

การเลือกโรงเรียนมัธยมด้วยเหตุผลเรื่องฟุตบอลมีส่วนช่วยให้ผมได้ฝึกความอดทนด้วย คาร์ดินัล ฮีแนนเป็นโรงเรียนใหญ่ มีนักเรียนกว่า 1,300 คน ตอนแรกผมไม่อยากไปเรียนที่นั่นแม้จะรู้ว่าโรงเรียนนี้มีจุดแข็งที่ทีมฟุตบอล ผมนอนร้องไห้เกือบทุกคืน ความคิดที่ว่าต้องย้ายไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเขย่าขวัญผมไม่น้อย คาร์ดินัล ฮีแนน อยู่ห่างจากบ้านไปแค่ 3 ไมล์ แต่สำหรับผมมันเหมือนอยู่คนละประเทศ

พ่อกับแม่คอยให้กำลังใจผม โดยการบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นฟุตบอลของผม แม้จะไม่เต็มใจผมก็ต้องไปเรียนที่นั่น ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะคุ้นเคยแต่ในที่สุดโรงเรียนแห่งนี้ก็กลายมาเป็นฉากสำคัญในชีวิตผม
ตอนเรียนปีสามผมได้นั่งรถบัสไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ ผมรักช่วงเวลานี้ เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมให้ผมไปโรงเรียนเอง สุดยอดจริงๆ ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี พระเจ้าทรงโปรด รู้สึกเหมือนกลายเป็นผู้ใหญ่ในทันที ผมออกจากบ้านพร้อมเงินค่ารถและค่าอาหารกลางวันอุ่นในกระเป๋า ผมรู้สึกเหมือนเป็นราชา เดินอาดๆ ออกจากบ้านไปตามถนนบลูเบลล์ไปเรียกเพื่อนอีกสองคน เทอรี่ สมิธ กับฌอน ดิลลอน จากนั้นเราสามคนก็ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ เดินยืดราวกับเป็นพวกแก๊งในเมือง

ฌอนนั้นแย่ที่สุด เขาตื่นสายเสมอ ผมกับเทอรี่ต้องไปที่บ้านเขาเอาก้อนหินขว้างขอบหน้าต่างปลุกเขาตอนแปดโมงสี่สิบห้า รอยแตกเล็กๆ หลายรอยที่หน้าต่างห้องนอนของฌอนเป็นผลมาจากความเป็นคนไม่รู้เวลาของเขานี่เอง

ในที่สุดเมื่อลากฌอนออกมาจากบ้านได้เราก็ต้องวิ่งหน้าตั้งไปขึ้นรถ เด็กสามคนลากกระเป๋านักเรียนวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปขึ้นรถ เราหัวเราะกันเสมอ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน ตอนนนี้ฌอนทำงานเป็นคนงานอิฐซึ่งชีวิตไปได้สวย และทุกวันนี้ผมก็ยังได้เจอเทอรี่บ่อยๆ เทอรี่เป็นแฟนเอฟเวอร์ตัน เราก็เลยได้ยั่วแหย่กันเสมอ

ตอนที่ฌอน,เทอรี่ และผมอยู่ที่โรงเรียนคาร์คินัล ฮีแนน ช่วงเวลาสำคัญที่ผมรอคอยในแต่ละวันคือเวลาของเกมฟุตบอลในระหว่างพักสองรอบๆ ละ 25 นาที และเกมหนึ่งชั่วโมงในตอนพักกลางวัน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันเอาแต่คิดถึงเกมฟุตบอล ผมชอบเรียนวิชาพละกับคุณแชดวิค แต่โชคร้ายที่วิชาพละไม่มีฟุตบอลหรอก เราได้เล่นแต่รักบี้,ยิมนาสติก หรือคริกเก็ต

ผมเองสนใจแต่ฟุตบอล จะเล่นในร่มหรือกลางแจ้งก็ไม่เกี่ยง หรือไม่ก็เทนนิส ผมชอบเล่นเทนนิสด้วยเหมือนกัน ที่คาร์ดินัล ฮีแนน เราได้เล่นมินิเทนนิส แบบที่ใช้ตาข่ายขนาดเล็กและแรคเก็ตไม้ เรามักจะตกแต่งไม้เป็นสัญญลักษณ์ไนกี้ หรือลายเส้นแบบอดิดาสคอยประกวดประขันกันว่าใครจะตกแต่งไม้ได้สวยกว่ากัน อย่างไรก็ตามฟุตบอลก็ยังเป็นวิชาสำคัญในหลักสูตรการศึกษาของผม

ที่โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน ไม่ค่อยโหดนัก มีเรื่องวิวาทกันในสนามบางเป็นครั้งคราว ผมเองมีกลุ่มเพื่อนซึ่งเราคอยดูแลกันและกัน พวกเรามีเรื่องชกต่อยซึ่งผมเข้าไปมีส่วนร่วมบ้างไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องกับผม ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือพวกเด็กโต

บางครั้งผมก็ปากแตกกลับบ้านเพราะร่วมวงชกต่อย แต่โดยส่วนใหญ่ชุดนักเรียนของผมจะเปื้อนโคลนมากกว่าเปื้อนเลือด ผมรักที่จะอยู่ในสนามคลุกฝุ่นคลุกโคลนไปตามเรื่องตามราว ผมรักช่วงเวลาที่ได้เล่นฟุตบอล สำหรับผมชั้นเรียนเป็นแค่สิ่งคั่นเวลาระหว่างเกมฟุตบอลเท่านั้น

เรื่องเรียนสำหรับผมไม่โดดเด่นอะไร ผมเรียนปานกลาง แต่ละวิชาก็ให้อารมณ์แตกต่างกันไป เช่นถ้าเรียนเลขได้ไม่ดีผมก็จะเกลียดวิชานี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าเรียน แต่ผมทำได้ดีเป็นพิเศษในวิชาภาษาอังกฤษที่มีครูผู้หญิงใจดีคอยช่วยผมก็เลยชอบเรียนภาษา ผมชอบเขียนเรียงความ ชอบแต่งเรื่อง ครั้งหนึ่งผมเขียนเรียงความเรื่อง “วันหนึ่งผมจะชนะฟุตบอลโลกได้อย่างไร”  ผมชอบเรียงร้อยถ้อยคำ ชอบอ่านด้วย

หนังสือที่ผมชอบมากที่สุดที่ได้อ่านตอนเรียนคือ Of Mice and Men เป็นเรื่องเศร้าถ้าคุณรู้จักตัวละครในเรื่องลึกซึ้ง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบหลายรอบจนหนังสือแทบหลุดเป็นส่วนๆ เราดูวีดิโอเรื่องนี้ เล่นละคร และสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ตอนสอบประเมินผล (GCSE – General Certificate of Secondary Education) ผมได้ C วิชาภาษาอังกฤษ D 6 วิชา และ E อีก 2 วิชา (การประเมินผลประกอบไปด้วยระดับ A*,A,B,C,D,E,F,G)

เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดผมมีความทะเยอทะยาน ความฝัน และเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว – ฟุตบอล
**** จบบทที่ 1 ****